ม.44 ปลดล็อก “อีไอเอ” สางพงหนามเมกะโปรเจกต์ขับเคลื่อนประเทศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/605728

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 15 เม.ย. 2559 05:01

 

ประเด็นสุดฮอตที่ยังคงเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ตลอดห้วงขวบเดือนที่ผ่านมา กับเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตาม ม.44 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ออกคำสั่ง คสช.ที่ 9/2559 ให้เดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์คู่ขนานไปกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม “EIA–EHIA” โดยไม่ต้องรอให้ผลศึกษาผ่านเสียก่อน

ทำเอารัฐบาล คสช.งานเข้า ถูกเครือข่ายเอ็นจีโอ และภาคประชาชนรุมกระหน่ำเป็นรายวัน พร้อมออกโรงเรียกร้องให้รัฐบาลได้ทบทวนยกเลิกคำสั่งดังกล่าว โดยเฉพาะขาประจำอย่าง นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ถึงขนาดออกโรงระบุว่า

คำสั่ง คสช.ดังกล่าวเป็นการทำลายหลักการป้องกันล่วงหน้าและเป็นรายการคืนความสุขให้กลุ่มทุน ที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของมาตรา 4 และ 5 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ประกอบ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2535 โดยชัดแจ้งขณะที่ภาครัฐก็ดาหน้าออกมายืนยันสาระของคำสั่ง คสช.ที่ 9/2559 ซึ่งบัญญัติข้อความเพิ่มในวรรค 4 ของมาตรา 47 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535

“ในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อประโยชน์ในการดำเนินโครงการหรือกิจการด้านการคมนาคมขนส่ง การชลประทาน การป้องกันสาธารณภัย โรงพยาบาล หรือที่อยู่อาศัย ในระหว่างที่รอผลการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามวรรคหนึ่ง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการหรือกิจการนั้น อาจเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการ เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกชนผู้รับดำเนินการตามโครงการ หรือกิจการไปพลางก่อนได้ แต่จะลงนามผูกพันในสัญญาหรือให้สิทธิกับเอกชนผู้รับดำเนินการตามโครงการหรือกิจการไม่ได้”

เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะปลดล็อกการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมขนส่ง อาทิ ขนส่งระบบราง รถไฟความเร็วสูง ทางด่วน หรือท่าเรือ เป็นต้น โครงการด้านชลประทาน การก่อสร้างเขื่อน ขนาดใหญ่ ซึ่งมักประสบปัญหาในเรื่องของการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการถูกต่อต้านจากชุมชน ท้องถิ่นและเครือข่ายเอ็นจีโอ เครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด

เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ “ทีมเศรษฐกิจ” จึงได้ย้อนรอยที่มาที่ไปของคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 9/2559 ต่อการ “ปลดล็อก” รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA-EHIA ในการดำเนินโครงการเมกะโปรเจกต์ครั้งนี้ เป็นไปเพื่อเอื้อต่อนายทุน หรือเป็นไปเพื่อขจัดอุปสรรคในการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์อย่างไร ดังนี้ :

ถอดบทเรียนอีไอเอ “แก่งเสือเต้น-แม่วงก์”

ปัญหา “กลัดหนอง” ของการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชน EIA-EHIA ที่ทำให้การดำเนินโครงการเมกะโปรเจกต์หลายต่อหลายโครงการต้องล้มลุกคลุกคลาน บางโครงการต้องกลับไปเกิดใหม่นั้น แม้แกนนำเครือข่ายเอ็นจีโอ หรือแกนนำในภาคประชาชนจะออกมาระบุว่า มาจากการจัดทำรายงานที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้ต้องมีการปรับแก้ หรือศึกษาเพิ่มเติมหลายรอบ

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาดังกล่าวได้ทำให้การดำเนินโครงการเมกะโปรเจกต์หลายต่อหลายโครงการต้องล้มลุกคลุกคลาน หรือถึงขั้น “ปิดประตูลั่นดาล” ลงไปเลยก็มี

บทเรียนของ 2 โครงการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่ดำเนินการมานับสิบปีและยังคงคาราคาซังมากระทั่งปัจจุบันคือเขื่อน “แก่งเสือเต้น” และ “เขื่อนแม่วงก์” น่าจะเป็นคำตอบที่ดีว่า เหตุใดรัฐบาลจึงจำเป็นต้องงัด ม.44 ผ่าทางตันปัญหาการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชนที่ว่านี้

โดยโครงการ “แก่งเสือเต้น” ที่ผลักดันมาตั้งแต่ปี 2532 และได้รับอนุมัติให้ก่อสร้างในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แต่ถูกชาวบ้านในพื้นที่คัดค้าน และแม้จะมีการทำการทบทวนผลสำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อมหลายต่อหลายครั้งก็ยังไม่สะเด็ดน้ำ กระทั่งปัจจุบันที่ผ่านมากว่า 20ปี โครงการนี้ก็ยังคงไม่สามารถก่อสร้างได้

ขณะที่เขื่อนแม่วงก์นั้น กรมชลประทานได้ดําเนินการศึกษาความเหมาะสมโครงการมาตั้งแต่ปี 2529 ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และศึกษาเพิ่มเติมมาตรการรายงานแผนแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIMP) แล้วเสร็จในปี 2537 แต่เมื่อส่งให้สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พิจารณาก็กลับเผชิญปัญหาความไม่สมบูรณ์ที่ทำให้ต้องแก้ไขกันมาเป็นสิบรอบ จนกระทั่งปัจจุบัน

นอกเหนือจากโครงการข้างต้น นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีฝ่ายวิชาการ กรมชลประทาน กล่าวกับ “ทีมเศรษฐกิจ” ว่า กรมชลประทานมีโครงการที่อยู่ในระหว่างขั้นตอนพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) รวม 7 โครงการได้แก่ 1.โครงการวังหีบ จ.นครศรีธรรมราช วงเงิน 1,600 ล้านบาท ปริมาณน้ำกักเก็บ 20.1 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ชลประทาน 13,014 ไร่ 2.อ่างเก็บน้ำแม่ถันน้อย จ.สุโขทัย วงเงิน 213 ล้านบาท ปริมาณน้ำกักเก็บ 4.15 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ชลประทาน 11,800 ไร่ 3.อ่างเก็บน้ำแม่ก๋อน จ.แพร่ วงเงิน 582 ล้านบาท ปริมาณน้ำกักเก็บ 11.47 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ชลประทาน 11,800 ไร่

4.อ่างเก็บน้ำหนองตาตั้ง จ.ราชบุรี วงเงิน 200 ล้านบาท ปริมาณน้ำกักเก็บ 21.74 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ชลประทาน 9,000 ไร่ 5.อ่างเก็บน้ำน้ำญวน จ.พะเยา วงเงิน 900 ล้านบาท ปริมาณน้ำกักเก็บ 36 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ชลประทาน 20,910 ไร่ 6.อ่างเก็บน้ำห้วยกะแหล่ง จ.ชัยภูมิ วงเงิน 500 ล้านบาท ปริมาณน้ำกักเก็บ 4.99 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ชลประทาน 3,100 ไร่ 7.อ่างเก็บน้ำห้วยตาเปอะ จ.มุกดาหาร วงเงิน 431 ล้านบาท ปริมาณน้ำกักเก็บ 18.89 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ชลประทาน 10,969 ไร่

โครงการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นโครงการที่มีความจำเป็นต่อการบริหารจัดการน้ำ และแก้ไขวิกฤติน้ำของประเทศ แต่เมื่อต้องดำเนินการตามกรอบของการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมทุกกระเบียดนิ้วก็ทำให้เส้นทางการดำเนินโครงการเป็นไปด้วยความล่าช้า คำสั่งของหัวหน้า คสช.ที่ 9/2559 จึงเป็นการปลดล็อกเงื่อนไขที่จะทำให้โครงการเหล่านี้เดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น

อานิสงส์โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน

ในฟากฝั่งกระทรวงพลังงานนั้น นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า หัวใจสำคัญของคำสั่ง คสช.ที่ 4/2559 เป็นการเปิดช่องระบายอากาศเพื่อผลักดันให้แผนการจัดหาแหล่งพลังงานของประเทศไทย ในอนาคตมีความคล่องตัวมากขึ้น เป็นการปูทางไปสู่ความมั่นคงทางพลังงาน เพราะเป็นการปลดล็อกปัญหาของกฎหมายผังเมือง ซึ่งผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากคำสั่งฉบับนี้ก็คือ โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ไม่ใช่โรงไฟฟ้าทุกประเภท อย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจกัน

โดยคำสั่ง คสช.ที่ 4/2559 ได้ยกเว้นการใช้กฎหมายผังเมืองใน 5 กิจการประกอบด้วย 1.โรงไฟฟ้า 2.โรงไฟฟ้าก๊าซซึ่งไม่ใช่ก๊าซธรรมชาติส่งหรือจำหน่วยหน่วยก๊าซ 3.โรงงานปรับปรุงคุณภาพของรวม (โรงบำบัดน้ำเสีย/เตาเผาขยะ) 4.โรงงานคัดแยกและฝังกลบ และ 5.โรงงานเพื่อการรีไซเคิล

ทั้งนี้ ปัจจุบันเทคโนโลยีของโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนได้รับการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับสมาร์ทโฟนที่ผู้ผลิตเพิ่มคุณภาพตลอดเวลา และทุกวันนี้โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนก็อยู่ใกล้กับทุกคนมากขึ้น เช่นแผงโซลาร์เซลล์ที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน พลังงานกังหันลมบนภูเขา หรือตามสถานที่ที่มีลมพัดตลอดทั้งปี

อย่างไรก็ตาม หากตีความตามกฎหมายผังเมืองเดิม โรงไฟฟ้าเหล่านี้จะไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะกฎหมายถือว่า ทั้งหมดนี้คือกิจการประเภทโรงงานอุตสาหกรรมไม่สามารถตั้งในชุมชนได้ แม้แต่การผลิตไฟฟ้าจากระบบชีวมวล ก๊าซชีวภาพ หรือการผลิตไฟฟ้าจากแกลบ ขยะ วัสดุเหลือใช้จากการเกษตร ซึ่งในข้อเท็จจริงควรตั้งอยู่ติดกับพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อสะดวกในการขนย้ายวัตถุดิบ เช่น โรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพก็ควรตั้งอยู่ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ แต่ปัญหาที่ผ่านมาคือ ติดปัญหาผังเมืองที่มีการใช้งานมานานหลายสิบปี จึงควรมีการแก้ไขในบางประเด็น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้”

“คำสั่งฉบับนี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือเอื้อประโยชน์ให้กับโรงไฟฟ้ากระบี่ และโรงไฟฟ้าเทพา ที่จังหวัดสงขลา ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะโรงไฟฟ้ากระบี่ต่อให้มีการปลดล็อกจากผังเมืองไปแล้ว แต่หากคณะกรรมการไตรภาคีที่รัฐบาลตั้งขึ้นมีมติไม่ให้มีการก่อสร้างก็ก่อสร้างไม่ได้”

สำหรับโรงไฟฟ้าเทพานั้น ในขณะนี้ยังไม่มีการประกาศผังเมืองรวม มีเพียงร่างผังเมือง ซึ่งพื้นที่ที่จะมีการสร้างโรงไฟฟ้าก็อยู่ในเขตที่ได้รับการยกเว้นอยู่แล้ว ทำให้แม้ไม่มีคำสั่งฉบับนี้ก็ยังก่อสร้างได้ แต่สุดท้ายก็ต้องฟังเสียงของประชาชนในพื้นที่ด้วย

นอกจากนี้ คำสั่ง คสช. ฉบับนี้ยังได้กำหนดมาตรฐานการควบคุมกฎเกณฑ์ของโรงไฟฟ้ารวมถึงคลังน้ำมันไว้อย่างชัดเจนอีกว่า โครงการลงทุนในกิจการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นโครงการใด จะต้องเป็นโครงการที่อยู่ในแผนการลงทุนของรัฐบาล โดยเฉพาะหากเป็นโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ๆ หรือโรงไฟฟ้าที่จะมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม หรือเพิ่มหน่วยการผลิตไฟฟ้าทดแทนหน่วยการผลิตไฟฟ้าที่ต้องปลดระวางลง จะต้องเป็นโรงไฟฟ้าที่อยู่ภายใต้แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (พีดีพี) ปี 2558-2579 เท่านั้น

“ที่สำคัญโรงไฟฟ้าทุกแห่งยังต้องจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือรายงานผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (EHIA) ตามขั้นตอนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่”

ดังนั้น การปลดล็อกของคำสั่ง คสช.ที่ 4/2559 ทำให้กระทรวงพลังงาน ตั้งเป้าหมายว่า ในปีสุดท้ายของแผนพีดีพี จะเป็นการจัดสมดุลการใช้เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าใหม่ โดยลดสัดส่วนจากก๊าซธรรมชาติที่ในขณะนี้มีสัดส่วน 70% ให้เหลือ 40% เพิ่มสัดส่วนการใช้ถ่านหินจาก 20% เป็น 25% พลังงานทดแทนจาก 5% เพิ่มขึ้นเป็น 20% และการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศจาก 5% เพิ่มเป็น 15% เพื่อให้เกิดความหลากหลายในการใช้เชื้อเพลิง และลดปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติลง

ขานรับขับเคลื่อน “เมกะโปรเจกต์”

ขณะที่ในส่วนกระทรวงคมนาคม ที่ได้ “อานิสงส์” จากดาบอาญาสิทธิ์ ม.44 มากที่สุด นั้น “นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.คมนาคม ได้ฉายภาพให้เห็นว่า “คำสั่งใน ม.44 ค่อน ข้างชัดเจนอยู่แล้วว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นของรัฐบาลที่ ใช้เงินงบประมาณโดยตรง เช่น การก่อสร้างถนน ท่าเรือ หรือโครงการรัฐวิสาหกิจที่ต้องกู้ยืมเพื่อลงทุน อย่างโครงการรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง จะต้องดำเนินงานตามเดิมทุกขั้นตอน ไม่มีการข้ามขั้นตอนการศึกษาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม”

เพียงแต่ต้องปรับเงื่อนเวลาบางขั้นตอน เช่น การอนุมัติหลักการจาก ครม.ให้สามารถทำได้เร็วขึ้น ดังนั้น ไม่ต้องกลัวว่าการใช้มาตรา 44 จะเกิดความเสียหายทุก ขั้นตอนยังต้องทำเหมือนเดิมก่อน โครงการถึงเดินหน้าได้

เหตุผลที่จำเป็นต้องนำ ม.44 มาใช้ เพราะรัฐบาลต้องการให้โครงการเดินหน้าได้รวดเร็ว เนื่องจากการดำเนินโครงการตามปกติที่ต้องเริ่มต้น จากการให้หน่วยงานเจ้าของโครงการทำการศึกษา ความเหมาะสมโครงการ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ประโยชน์ที่ได้รับ รวมถึงการใช้งบประมาณ ซึ่งใช้ระยะเวลา 1-2 ปี หลังจากผ่านการศึกษาความ เหมาะสมแล้ว ต้องนำผลศึกษาเสนอให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือบางโครงการหากกระทบต่อสุขภาพด้วย ก็ต้องศึกษา EHIA ตามมาด้วย

“ขั้นตอนนี้นับว่าสำคัญมาก โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ เมื่อรับเรื่องไปแล้วจะมีการตั้งคณะทำงานผู้ชำนาญการขึ้นมาเพื่อศึกษาผลกระทบอย่างละเอียด ทั้งผลกระทบต่อคน สัตว์ สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นชอบกับเรื่องที่เสนอไป 100% ต้องมีการถามขอข้อมูลเพิ่มเติมกลับมา บางโครงการใช้เวลาเร็วหน่อยก็ 1-2 ปี แต่ถ้ายาก เช่น เข้าไปศึกษาในพื้นที่ลุ่มน้ำ หรือพื้นที่ป่าชายเลน ต้องขออนุญาตเจ้าของพื้นที่ก่อน หรือบางโครงการ เช่น การนับจำนวนนกไซบีเรียที่เคยบินผ่านมา 1 ปีมีครั้งเดียว การศึกษาก็ต้องรอให้ครบ 1 ปีก่อนถึงจะนับนกได้ ถ้านกบินผ่านน้อยลงแสดงว่ามีผลกระทบต่อระบบนิเวศแล้ว ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมจะต้องนำเรื่องส่งกลับไปให้หน่วยงานเจ้าของโครงการแก้ไข ระหว่างนี้อาจส่งกลับไปกลับมาหลายรอบใช้เวลากันเป็นปี ที่เคยเห็นนานสุด 5 ปี”

หากโครงการผ่านการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปแล้ว ขั้นตอนต่อไปถึงจะนำเสนอให้ ครม.พิจารณาอนุมัติหลักการได้ ถ้าอนุมัติสำเร็จถึงจะให้เจ้าของหน่วยงานกลับไปออกแบบรายละเอียดโครงการใช้เวลาอีก 1-2 ปี รวมถึงกำหนดเงื่อนไขการประกวดราคาอื่นๆ ซึ่งโดยรวมแล้วอาจใช้เวลานานมากถึง 5-9 ปีเลยทีเดียว

ดังนั้น จุดประสงค์ของการใช้ ม.44 จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้จากเดิมการทำงานจะเดินเป็นเส้นตรงเส้นเดียว หากถึงขั้นการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมหน่วยงานเจ้าของโครงการทำได้แต่นั่งรอเฉยๆ ทำอะไรไม่ได้เลยจนกว่าจะแล้วเสร็จ

แต่เมื่อมีคำสั่ง ม.44 ก็สามารถขยับโครงการส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ก่อน ถ้าผลการศึกษาความเหมาะสมผ่านแล้ว แม้ว่าโครงการจะอยู่ระหว่างศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ถ้า ครม.อนุมัติ เจ้าของโครงการก็สามารถกลับไปออกแบบรายละเอียด ทำทีโออาร์เปิดประมูลหาผู้รับเหมาโครงการ ทำคู่ขนานไปกับการศึกษาสิ่งแวดล้อมได้เลย โดยไม่ต้องเสียเวลารออีไอเอเพียงอย่างเดียว “การใช้มาตรา 44 นี้คาดว่าจะย่นระยะเวลาลงไปได้ 1-2 ปีเลยทีเดียว และช่วยให้การเดินหน้าโครงการเป็นรูปธรรมมากขึ้น”

ส่วนความกังวลกรณีถ้าการประมูลเสร็จแล้ว แต่การศึกษาอีไอเอไม่เสร็จ หรือเสร็จล่าช้า นั้น ผู้รับเหมาก็ต้องยอมรับไป เพราะจะมีการกำหนดในเงื่อนไขของสัญญาก่อนประมูลไว้ว่า 1.เมื่อผู้รับเหมาชนะการประมูลแล้ว จะยังลงนามไม่ได้ ต้องรอจนกว่าอีไอเอทำจบก่อน และ 2.เรื่องการยืนยันราคา ผู้รับเหมาจะต้องยืนยันราคา ณ วันที่ประกวดราคา หากอีไอเอเสร็จหลังจากนั้น 1 ปี ผู้ชนะประมูลก็ต้องยอมรับราคาเดิมที่ชนะไว้แม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นก็ตาม

“ขอย้ำว่า ขั้นตอนการพิจารณาโครงการยังมีครบเหมือนเดิม เพียงแต่มีการดึงงานส่วนหลังขึ้นมาทำก่อนเพื่อประหยัดเวลา แต่ถ้าโครงการไหนทำเสร็จแล้ว แต่อีไอเอไม่ผ่าน โครงการนั้นก็ต้องพับยกเลิกไป และยืนยันว่าการใช้มาตรา 44 ไม่ได้เป็นการกดดันคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้เร่งทำงานจนต้องผ่าน เพราะมีสิทธิพิจารณาได้ตามปกติเหมือนเดิม”

สำหรับโครงการของกระทรวงคมนาคมที่เข้าข่ายต้องใช้ ม.44 ประกอบด้วย 7 โครงการวงเงินรวม 634,966 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการรถไฟฟ้าสีม่วงใต้ เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ และช่วงต่อขยายไปอีก 5 กิโลเมตร-ทุ่งครุ วงเงิน 131,003 ล้านบาท ซึ่งในส่วนที่ขยายอีก 5 กิโลเมตรนี้อยู่ในขั้นตอนของอีไอเอ 2.โครงการรถไฟทางคู่ นครปฐม-หัวหิน วงเงิน 20,036 ล้านบาท 3.โครงการรถไฟทางคู่ ลพบุรี-นครสวรรค์ วงเงิน 7,860 ล้านบาท 4.โครงการรถไฟไทยจีนช่วง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา วงเงิน 170,000 ล้านบาท

5. โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หัวหิน วงเงิน 94,673 ล้านบาท 6.โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-ระยอง วงเงิน 155,774 ล้านบาท 7.ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หรือมอเตอร์เวย์ บางใหญ่-บ้านโป่ง วงเงิน 55,620 ล้านบาท ล่าสุดโครงการนี้อยู่ระหว่างปรับข้อมูลโครงการให้มีความสอดคล้องกับปัจจุบัน เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการศึกษาโครงการมานานแล้ว

“ผมยืนยันการใช้คำสั่งมาตรา 44 ของนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นการลดขั้นตอน เพียงแต่มองว่าถ้าเราเดินไปตามขั้นตอนปกติ กระบวนการต่างๆจะใช้เวลา 5-9 ปี ซึ่งหากเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและจำเป็นจริงๆ ถ้าไม่ทำในตอนนี้ ต้นทุนอาจเพิ่มขึ้นหรือมีปัจจัยแวดล้อมอื่นมากระทบจนทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสได้”.
ทีมเศรษฐกิจ

Leave a comment