“นันทวัลย์” แจงสี่เบี้ย ละเมิด “ทรัพย์สินทางปัญญา” “แบรนด์นอก” ฮุบสิทธิ์ “แบรนด์ไทย”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/606090

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 16 เม.ย. 2559 05:01

 

กลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์” บนโลกโซเชียลมีเดีย รวมทั้งวงการแฟชั่นเมืองไทยต่อเนื่องในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

หลังจากสินค้าแบรนด์เนมดังระดับโลก “Balenciaga” ทำฮือฮา! ด้วยการนำเอากระเป๋าคอลเลกชั่นใหม่ที่คล้ายกันอย่างยิ่งกับ “กระเป๋าสายรุ้ง” หรือถุงกระสอบที่พ่อค้าแม่ค้าของไทยใส่ของไปเดินเฉิดฉายเปิดตัวในโชว์ Balenciaga Fall Winter 2016 Show ที่จัดแสดงในงาน Paris Fashion Week เมื่อต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาเช่นเดียวกับ “รองเท้ายาง” รุ่นใหม่ของแบรนด์รองเท้ากีฬาระดับโลกไนกี้ “Nike Solarsoft Thong II” ที่ออกมาเกือบจะเหมือนแตะหูคีบ ยี่ห้อ “ช้างดาว” ของบ้านเราแทบแยกไม่ออก

แตกต่างกันที่ “กระเป๋าสายรุ้ง” บ้านเราราคาอยู่ที่หลักไม่กี่สิบ แต่ “กระเป๋าสายรุ้ง” แบรนด์ Balenciaga ราคาเฉียดๆหลักแสน เช่นเดียวกับ “รองเท้าแตะ” ที่แปะยี่ห้อไนกี้ ขายได้ข้างละ 450 บาท หรือคู่ละ 900 บาท

เกิดคำถามขึ้นมากมายในสังคมไทยว่า แบรนด์ดังระดับโลกเหล่านี้ก๊อบปี้แบรนด์ไทยหรือไม่

“แรงบันดาลใจ” แตกต่างกันอย่างไรกับ “ละเมิด ทรัพย์สินทางปัญญา”

และนอกเหนือจาก 2 กรณีนี้ ในข้อเท็จจริงสินค้าไทยถูกต่างชาติละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบ้างหรือไม่ หรือมีแต่ข้อหาที่ว่าคนไทยละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของต่างชาติเพียงฝ่ายเดียว

“ทีมเศรษฐกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ “นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค” อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อไขข้อข้องใจทุกประเด็นร้อนของเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาว่า “แบรนด์ไทย” ควรทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการถูกละเมิด รวมทั้งเปิดเผยความคืบหน้าการเร่งรัด “แก้ปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์” ในประเทศไทย และการปลดบัญชีดำ “ประเทศที่ถูกจับตามองพิเศษ” ด้านทรัพย์สินทางปัญญาภายในปีนี้

ต่างชาติต่อยอด “กึ๋น” คนไทยไม่ผิด

อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาชี้แจงกรณีที่แบรนด์ดังระดับโลกนำไอเดีย หรือสินค้าของคนไทยไปต่อยอดผลิตเป็นสินค้าใหม่ๆ ออกขาย ว่า ไม่ถือเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ของไทย เพราะสินค้าไทยมักไม่จดทะเบียน

ที่สำคัญ การต่อยอดคือการนำเอาไอเดีย ของคนไทยไปพัฒนาต่อแล้วผลิตเป็นสินค้าตัวใหม่ ไม่ใช่เป็นการผลิตสินค้าเลียนแบบ หรือทำซ้ำ (Copy) จึงไม่ใช่การละเมิด!!

อย่าง “กระเป๋าสายรุ้ง” ที่แบรนด์ดังนำไอเดีย ไปต่อยอดผลิตสินค้า ก็ไม่ถือว่าละเมิดคนไทย เพราะกระเป๋าสายรุ้ง แม้จะใช้มานาน แต่ไม่รู้ใครผลิตรายแรก ไม่มีเจ้าของแบรนด์ และมีขายในอาเซียนด้วย จึงไม่ใช่ทรัพย์สินทางปัญญาไทย และไม่ถือว่าไทยละเมิดแบรนด์ดัง เพราะลักษณะกระเป๋า วัสดุที่ใช้ต่างกัน คนไทยยังใช้กระเป๋านี้ได้เหมือนเดิม

“ทั่วโลกก๊อบปี้ไอเดียของกันและกันทั้งนั้น เพื่อหาไอเดียใหม่ๆ ต่อยอดผลิตสินค้าใหม่ แต่คนไทย เมื่อผลิตสินค้าแล้วมักไม่จดทะเบียน อยากให้มาจดกันมากๆ เมื่อเกิดปัญหาจะได้เอาผิดกับคนละเมิด และธุรกิจไม่เสียหาย”

อย่างไรก็ตาม กรมฯได้จัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ให้รู้จักปกป้อง คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของตน และนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เช่น เมื่อออกแบบ และผลิตสินค้าได้ ต้องจดทะเบียนในประเทศก่อน แล้วจึงจดในประเทศที่จะส่งสินค้าไปขาย ไม่เช่นนั้นอาจเสียหายทางธุรกิจโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยสินค้า 1 ชิ้นจดทะเบียนรับความคุ้มครองได้หลายอย่าง เช่น สิทธิบัตรการประดิษฐ์ สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ เครื่องหมายการค้า

“บริษัทใหญ่ๆมีฝ่ายทรัพย์สินทางปัญญา จึงเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่รายเล็กๆ ยังไม่มี และอาจยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ กรมฯต้องให้ความรู้เพื่อให้คนเหล่านี้รู้จัก และตระหนักถึงการปกป้อง คุ้มครอง การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ให้มากขึ้น”

สินค้าไทยถูกละเมิดในต่างแดนอื้อ

อย่างไรก็ตาม แม้ไทยถูกสำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) จัดสถานะอยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษด้านทรัพย์สินทางปัญญา (PWL) ตามกฎหมายการค้า มาตรา 301 พิเศษ (Special 301) มาแล้ว 8ปี

เนื่องจากไทยละเมิดสหรัฐฯมาก โดยเฉพาะลิขสิทธิ์ภาพยนตร์เพลง ตำราเรียน ซอฟต์แวร์ เช่น มีการแอบถ่ายภาพยนตร์ในโรงแล้วนำมาบันทึกลงแผ่นซีดีแล้วก๊อบปี้ขาย หรือดาวน์โหลดภาพยนตร์จากอินเตอร์เน็ตแล้วก๊อบปี้ลงแผ่นขาย หรือดาวน์โหลดมาดูฟรี ก๊อบปี้ซอฟต์แวร์มาใช้เป็นซอฟต์แวร์เถื่อน ฯลฯ

ส่งผลให้เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาเสียหายมหาศาล เพราะคนไทยไม่ซื้อ ไม่ใช้สินค้าลิขสิทธิ์ แต่ใช้ของปลอมแทน!! และปีนี้กำลังลุ้นว่าจะหลุดจากบัญชีนี้หรือไม่ โดย USTR จะประกาศผลสิ้นเดือน เม.ย.นี้ เราอยากให้หลุด เพราะแก้ปัญหาต่างๆมากกว่าที่สหรัฐฯร้องขอด้วยซ้ำแต่ถ้าไม่หลุด คงไม่ประท้วง แต่จะถือว่าได้แก้ปัญหาให้ภาพพจน์ของประเทศดีขึ้น นักลงทุนเชื่อมั่นเข้ามาลงทุนมากขึ้น

“แม้สหรัฐฯมองว่าไทยละเมิดมาก แต่สินค้าไทยถูกหลายประเทศละเมิดเช่นกัน เพราะสินค้าไทยได้รับความนิยมและขายดี จึงมีคนแสวงหาผลประโยชน์ สินค้าที่ถูกละเมิดมาก เช่น อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ส่วนใหญ่ละเมิดเครื่องหมายการค้าที่เป็นโลโก้ หรือยี่ห้อ หรือแบรนด์ของสินค้า”

ลักษณะการละเมิด มีทั้งทำ “เลียนแบบ” หรือทำ “ปลอม” เครื่องหมายการค้า และปลอมสินค้า โดยผู้นำเข้าหรือตัวแทนจำหน่ายสินค้าไทยในประเทศนั้นๆ ทำให้สินค้าเสียหาย ทั้งภาพลักษณ์และยอดขาย เพราะสินค้าปลอมอาจไม่มีคุณภาพ เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ทำให้ไม่กล้าซื้อใช้ ยอดขายตก สุดท้ายเจ้าของแบรนด์ที่แท้จริงเสียหายมาก

“การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไทย โดยต่างชาติ มักเกิดจากการร่วมทุนกับคู่ค้า และไม่ได้ทำสัญญาเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาอย่างชัดเจน ทำให้นำทรัพย์สินทางปัญญาไปจดทะเบียน หรือใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต”

แนะจดทะเบียนคุ้มครองก่อนขาย

นอกจากนี้ยังนำเอาเครื่องหมายการค้าไทยไปจดทะเบียนเป็นของตนเอง ซึ่งเกิดขึ้นกับเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนในประเทศที่ส่งสินค้าไปขาย กรณีนี้ร้ายแรงมาก เพราะเมื่อเครื่องหมายการค้าได้รับการจดทะเบียนในประเทศนั้นๆแล้ว เจ้าของสิทธิ์ที่แท้จริงจะใช้ประโยชน์หรือนำไปค้าขายในประเทศนั้นๆไม่ได้อีก เพราะจะละเมิดผู้ขอจดทันที ทำให้ต้องใช้เครื่องหมายการค้าอื่น หรือ “ซื้อคืน” เครื่องหมายการค้าของตนเอง

ประเทศที่ละเมิดสินค้าไทยมากที่สุด คือ อาเซียน และจีน โดยจีนละเมิดเครื่องหมายการค้าน้ำผลไม้ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง น้ำมันน้ำพริกเผา น้ำมันพืช บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เครื่องสำอาง ฯลฯ ในอาเซียนอย่างอินโดนีเซียละเมิดปูนซีเมนต์ผสม หมวกกันน็อก เครื่องสำอาง, กัมพูชาละเมิดน้ำปลา ปูนซีเมนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า, มาเลเซียละเมิดน้ำพริกเผา, เมียนมาละเมิดรองเท้าแตะ, ฟิลิปปินส์ละเมิดหมวกกันน็อก เครื่องสำอาง, สิงคโปร์ละเมิดไม้สนุ้กเกอร์, เวียดนามละเมิดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ปูนซีเมนต์ เครื่องแกงสำเร็จรูป เป็นต้น

ในการแก้ปัญหานี้ กรมฯได้ประสานงานกับหน่วยงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศต่างๆ ให้แก้ไข เช่น ยกเลิกการจดทะเบียน ตรวจสอบจับกุมผู้ละเมิด เป็นต้น และแนะนำให้ผู้ประกอบการไทยจดทะเบียนในทุกตลาดที่ส่งสินค้าไปขาย และเร็วๆนี้ ไทยจะเข้าเป็นสมาชิกพิธีสารแมดริด ทำให้ผู้ประกอบการ ยื่นขอจดเครื่องหมายการค้าได้ที่กรมฯ แต่ขอรับความคุ้มครองได้ใน 97 ประเทศสมาชิกในคราวเดียว โดยไม่ต้องเดินทางไปขอจดในต่างประเทศ

“ถ้าผู้ประกอบการไทยจดทะเบียนเพื่อขอรับความคุ้มครองทั้งในประเทศและต่างประเทศ กรณีเกิดการละเมิดขึ้น จะสามารถดำเนินคดีกับผู้ละเมิดได้ แต่ถ้าไม่ได้จดทะเบียนไว้ก่อน บางครั้งเจ้าของคนไทยตัวจริง อาจสู้คดีไม่ได้ ทำให้ต้องสูญเสียแบรนด์ของตนเอง และเสียหายทางธุรกิจ”

สถานการณ์ค้าของเถื่อนลดต่อเนื่อง

อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาบอกว่า เมื่อให้ความรู้ผู้ประกอบการจดทะเบียนก่อนผลิตสินค้าออกขาย ทั้งในและต่างประเทศมากขึ้นแล้ว เชื่อว่าคนไทยจะปกป้อง คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตนเองมากขึ้น และปัญหาคนต่างชาติละเมิดสินค้าไทยน่าจะลดลง

แต่การละเมิดในประเทศแม้ไทยยังอยู่ในบัญชี PWL และต่างชาติมองว่าไทยเป็นแหล่งผลิตและจำหน่ายสินค้าละเมิด แต่การละเมิดลดความรุนแรงลงมาก เพราะแหล่งผลิตสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้า และลิขสิทธิ์อยู่ในต่างประเทศ ในไทยไม่มีแล้ว เพราะต้นทุนการผลิตไทยสูงกว่า และทางการไทยปราบปรามอย่างหนัก

แม้จะเห็นสินค้าปลอมวางขายอยู่ แต่เป็นสินค้าละเมิดที่นำเข้าทั้งสิ้น!!

นอกจากนี้ กรมศุลกากรได้ปราบสินค้าละเมิด ณ จุดนำเข้า-ส่งออก และชายแดนอย่างเข้มงวด ส่วนกรุงเทพฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้สืบสวนจับกุมผู้ละเมิดรายใหญ่ต่อเนื่อง ทำให้สินค้าลดลงกว่าครึ่ง ขณะเดียวกัน ตำรวจท้องที่และกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) ได้ตรวจสอบและจับกุมผู้ค้ารายย่อย ร้านค้า แผงลอยด้วย

จากการดำเนินการดังกล่าว ส่งผลให้ในปี 58 กรมศุลกากรจับกุมผู้กระทำผิดและดำเนินคดี 846 คดี ยึดของกลางที่ 2.22 ล้านชิ้น จากปี 57 ที่จับกุมได้ 809 คดี และยึดของกลาง 341,907 ชิ้น ส่วน DSI จับกุมได้ 38 คดี ยึดของกลางได้ 713,165 ชิ้น จากปี 57 ที่จับกุมได้ 14 คดี ยึดของกลางได้ 147,835 ชิ้น และ สตช.จับกุมได้ 6,553 คดี ยึดของกลางได้ 910,516 ชิ้น จากปี 57 ที่จับกุมได้ 9,924 คดี ยึดของกลาง 1.04 ล้านชิ้น

แต่เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการละเมิดมีประสิทธิภาพมากขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน มีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย เพื่อกำหนดแผนปราบปรามให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

และเมื่อเร็วๆนี้ กรมฯได้เชิญกรมศุลกากร DSI สตช. และ ปอศ. มาประชุมกำหนดแผนทำงานให้ชัดเจน โดยจะเร่งปราบการละเมิดในตลาดต่างๆ ที่ขายสินค้าละเมิดมากทั่วประเทศ หรือ Notorious Markets ทั้ง 11 แห่ง ตามข้อมูลของ USTR ได้แก่ หาดกะรน และหาดป่าตอง จ.ภูเก็ต, พัทยา จ.ชลบุรี, ตลาดโรงเกลือ จ.สระแก้ว, ห้างพันธุ์ทิพย์, คลองถม, บ้านหม้อ, ห้างมาบุญครอง, ริมถนนสุขุมวิท, พัฒน์พงศ์ และตลาดนัดจตุจักร ส่วนอีก 2 แห่งคือ สะพานเหล็กถูกรื้อถอนไปแล้ว และตลาดนัดถนนสุขุมวิทถูกทางการทลายไปแล้ว

“ถ้าจับกุมผู้ค้ารายใหญ่ได้ นอกจากมีความผิดตามกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว ต้องส่งให้กรมสรรพากร ตรวจสอบการเสียภาษีย้อนหลัง ส่งคณะกรรมการป้องกันการฟอกเงิน (ปปง.) ยึดทรัพย์ ถ้าเป็นต่างชาติส่งเรื่องให้ สตช. ขึ้นบัญชีดำ ไม่ให้กลับเข้ามาอีก และทำหนังสือถึงเจ้าของอาคารสถานที่ที่ขายสินค้าละเมิด ไม่ต่อสัญญากับผู้ขายสินค้าละเมิดด้วย”

ส่วนการละเมิดบนอินเตอร์เน็ต แม้มีมากขึ้น เช่น การโพสต์ขายสินค้าปลอมบน Facebook หรือ IG หรือการดาวน์โหลดภาพยนตร์ และเพลงต่างประเทศจากเว็บไซต์ฟรี ฯลฯ แต่ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ฉบับแก้ไขใหม่ ปรับปรุงให้การคุ้มครองครอบคลุมถึงการป้องกันบนอินเตอร์เน็ตแล้ว โดยผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP) สามารถปิดกั้นเว็บไซต์ที่ละเมิดได้ตามคำสั่งศาล

โรดแม็ปปฏิรูปทรัพย์สินทางปัญญา

นอกจากการระดมทุกหน่วยงานปราบปรามการละเมิดอย่างต่อเนื่องแล้ว กรมฯยังจัดทำโรดแม็ปการปฏิรูปทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อให้การแก้ปัญหาเกิดความยั่งยืน ครอบคลุม 4 ด้านคือ 1.ส่งเสริมให้คนไทยสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา 2.ปกป้องคุ้มครอง 3.ปราบปรามการละเมิด และ 4.สร้างจิตสำนึกให้คนไทยไม่ละเมิด และใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์

“โรดแม็ปเสร็จแล้ว จะเวียนให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ จากนั้นจะเสนอให้ รมว.พาณิชย์ เห็นชอบก่อนเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาน่าจะทำให้ไทยจะมีประสิทธิภาพในการปกป้อง คุ้มครองมากขึ้น คนไทยลดการละเมิดลง มีจิตสำนึกไม่ใช้ของปลอม และสร้างสรรค์ผลงานตนเองมากขึ้น”

ในโรดแม็ปนั้น กรมฯจะปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ลดเวลาและขั้นตอนการจดทะเบียน เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อให้การจดทะเบียนเร็วขึ้น ปรับปรุงการยื่นขอจดทะเบียนทางออนไลน์ (e-Filing) เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ขอจด ซึ่งจะช่วยให้คนไทยสร้างสรรค์ผลงาน และจดทะเบียนมากขึ้น ส่วนการสร้างจิตสำนึกจะเพิ่มเนื้อหาทรัพย์สินทางปัญญาในหลักสูตรการศึกษา เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีความรู้ ไม่ซื้อ ไม่ใช้ของปลอม ให้ความรู้ผู้ค้า เลิกขายสินค้าละเมิด แล้วขายสินค้าโอทอป หรือสินค้าแบรนด์คนไทย

ในการส่งเสริมให้ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ จะให้ความรู้ผู้ประกอบการ สร้างเครื่องหมายการค้าของตนเอง หรือให้ความรู้แนวโน้มของเทคโนโลยีที่จะผลิตสินค้า แนวโน้มของสินค้าในอนาคต เพื่อให้ผู้ประกอบการประดิษฐ์ หรือสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ ผลิตสินค้าให้ตรงกับต้องการของตลาดมากที่สุด

“กรมฯจะซื้อลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ใหม่ ที่รวบรวมสิทธิบัตรการประดิษฐ์ทั่วโลก เพื่อให้ผู้ประกอบการค้นหา trend การผลิตสินค้าของโลก เช่น ค้นได้ว่า มีสิทธิบัตรเกี่ยวกับอะไรมากที่สุด ซึ่งจะบอกได้ถึงแนวโน้มความ ต้องการของสินค้า หรือถ้าต้องการผลิตสินค้า 1 อย่าง จะต่อยอดจากสิทธิบัตรของคนอื่นได้หรือไม่ โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่”

ในด้านปราบปราม จะร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปราบปรามการละเมิดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเน้นพื้นที่สีแดงทั่วประเทศ ที่ขายสินค้าละเมิดทั้ง 29 แห่ง เช่น มาบุญครอง พันธุ์ทิพย์ พัฒน์พงศ์ ถนนสีลม ถนนสุขุมวิท บ้านหม้อ คลองถม เชียงใหม่ ภูเก็ต ตลาดโรงเกลือ เป็นต้น

ทีมเศรษฐกิจ

Leave a comment