คลังแจงลดภาษีช่วย 8 ล้านคน “ไพบูลย์” ชี้มีผลกระตุ้นเศรษฐกิจไม่มาก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/608083

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 20 เม.ย. 2559 08:01

 

“สรรพากร” แจง ครม.จัดหนักมาตรการภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจ อวยประโยชน์ 8 ล้านคนมีเงินใช้จ่ายเพิ่ม ไม่หวั่นรายได้หาย เชื่อได้ภาษีจาก e–payment และโครงการบัญชีเล่มเดียวคืนกว่า 1 แสนล้าน ด้าน “ไพบูลย์” ระบุ มีผลช่วยกำลังซื้อบ้างแต่ไม่มาก เหตุมาตรการภาษีเริ่มจริงปีหน้า

นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งการปรับอัตราภาษีใหม่ เพิ่มการลดหย่อนค่าใช้จ่าย และลดหย่อนบุตรเพิ่มในครั้งนี้ ซึ่งผ่านการอนุมัติของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น (รายละเอียดตามตาราง) จะทำให้กรมสรรพากรสูญเสียรายได้ประมาณ 32,000 ล้านบาท แต่สิ่งที่จะได้กลับคืนมาคือ ผู้เสียภาษีส่วนใหญ่ของประเทศจะมีภาระภาษีที่ลดน้อยลง และสามารถที่จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้

ทั้งนี้ ในปีภาษี 2558 ที่ผ่านมา ในการยื่นภาษีระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค.2559 พบว่า มีผู้เสียภาษีมายื่นแบบทั้งหมด 8.8 ล้านคน แต่หากนำโครงสร้างภาษีใหม่มาเปรียบเทียบกับโครงสร้างภาษีเดิมจะพบว่า ผู้เสียภาษีเงินได้ที่มีเงินได้สุทธิ ตั้งแต่ 0-300,000 บาท มีอยู่ประมาณ 7.2 ล้านคน และผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 300,001 แต่ไม่เกิน 500,000 บาท อยู่ประมาณ 800,000 คน ซึ่งมาตรการนี้จะทำให้คนส่วนนี้จะเสียภาษีน้อยลง หรือบางรายไม่เสียภาษีเลย

ดังนั้น หากนำผู้ที่มีเงินตั้งแต่ 0 บาทแต่ไม่เกิน 500,000 บาท ทั้งหมดที่เสียภาษีในปีที่ผ่านมามารวมกัน จะพบว่า มีผู้เสียภาษีที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ถึง 8 ล้านคน เพราะมาตรการดังกล่าวจะทำให้ประชาชน (กรณีโสด) ที่มีรายได้ไม่เกิน 26,000 บาทต่อเดือนไม่ต้องเสียภาษี จากเดิมรายได้ไม่เกิน 20,000 บาทไม่ต้องเสียภาษี

นายประสงค์กล่าวต่อว่า โครงสร้างภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้ในปี 2560 และต้องยื่นภาษีระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค.2561 นอกจากนี้ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมกรม สรรพากรยังเสนอเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่บริษัทที่ลงทุนทางด้านงานวิจัย หรืออาร์แอนด์ดี ซึ่งสามารถทำได้ 2 กรณีคือ 1.หักค่าใช้จ่ายได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท (กรณีเหมาจ่าย) และ 2. นำค่าใช้จ่ายมาหักภาษีได้ตามความสมควร (กรณีนี้ ต้องมีใบกำกับภาษีมาแสดงเป็นหลักฐาน) เป็นต้น

“กรมสรรพากรไม่ได้เป็นห่วงเรื่องรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ลดลง เพราะการปรับปรุงโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาในครั้งนี้ ผู้เสียภาษีส่วนใหญ่ของประเทศจะได้รับประโยชน์ และที่สำคัญในอนาคตกรมสรรพากรมั่นใจว่า จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากโครงการบัญชีเล่มเดียว ซึ่งสนับสนุนให้วิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อมที่อยู่นอกระบบภาษี หรือเคยเลี่ยงภาษีเข้ามาอยู่ในระบบและภาษีที่จะได้โครงการ e-payment ของประเทศ ซึ่งคาดว่าเงินส่วนนี้จะเข้ามาไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาท”

ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ และนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวให้ความเห็นว่า ผลของการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมทั้งการเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับผู้เสียภาษีนั้นตนเห็นว่า คงมีผลช่วยกำลังซื้อหรือการจับจ่ายของประชาชนบ้างแต่ไม่มาก แต่คงมีผลด้านจิตวิทยามากกว่า เพราะไม่ได้มีผลบังคับทันที เนื่องจากเป็นการนำมาใช้สำหรับการจ่ายภาษีเงินได้ในปี 60 และการปรับลดอัตราภาษีครั้งนี้ปรับลดลงไม่มากนัก แต่ก็เข้าใจความจำเป็นของรัฐบาลที่ยังจำเป็นต้อง หารายได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีที่ปรับภาษีครั้งนี้ รัฐให้เหตุผลว่า ต้องการให้สอดคล้องหรือล้อไปกับภาษีนิติบุคคลที่ลดลงไปก่อนหน้าจากการจัดเก็บอัตรา 30% ลดเหลือ 20% นั้น การปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาควรเก็บอัตราสูงสุดที่ 28% แต่การปรับลดโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาครั้งนี้อัตราสูงสุดยังอยู่ที่ 35%

“แนะว่าควรมีการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มแต่รัฐบาลไม่กล้า เพราะกลัวกระทบคนมีรายได้น้อย แต่มีทางออกว่า ภาษีมูลค้าเพิ่มควรทำให้มี 2 อัตรา โดยสินค้าจำเป็นอาจยังเก็บในอัตราเดิมที่ 7% แต่สินค้าฟุ่มเฟือยจัดเก็บในอัตราที่สูงกว่า เช่น 10 หรือ 12% เป็นต้น ซึ่งจะไม่กระทบต่อผู้ที่มีรายได้น้อยในการซื้อสินค้าจำเป็น ซึ่งหากทำเช่นนี้ได้ รัฐบาลจะสามารถลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้มากกว่านี้ ซึ่งก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้”

ทั้งนี้ วันเดียวกัน ครม.ยังอนุมัติเห็นชอบโครงการบ้านประชารัฐเพิ่มเติม โดยนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ครม.ยังได้เห็นชอบโครงการบ้านประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุ หรือบ้านธนารักษ์ประชารัฐ โดยรัฐร่วมกับเอกชนการสร้างที่อยู่อาศัยบนที่ดินราชพัสดุราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท และซ่อมแซมหรือต่อเติมที่อยู่อาศัยที่ปลูกสร้างบนที่ดินที่ราชพัสดุไม่เกินวงเงิน 500,000 บาท โดยจะเป็นโครงการนำร่อง ใน 6 พื้นที่จำนวน 4,000 หน่วย แบ่งเป็นใน กทม. 2 พื้นที่ 1,000 หน่วย ส่วนที่เหลืออีก 4 พื้นที่แบ่งเป็นเชียงใหม่ 1 พื้นที่ เชียงราย 1 พื้นที่ และเพชรบุรี 2 พื้นที่ นอกจากนี้ ครม.ยังได้ต่ออายุภาษีการสนับสนุนสถานศึกษาออกไปอีก 3 ปี โดยบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ให้การสนับสนุนการศึกษา นำมาหักภาษีได้ 2 เท่า.

Leave a comment