ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/607080
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 18 เม.ย. 2559 05:01

“สมคิด” เผยเตรียมวิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบใหม่ ซึ่งเป็นรูปแบบที่ดีสำหรับคนจนและชนชั้นกลางเข้าสู่ ครม.พร้อมจ่อพิจารณากฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ย้ำจะไม่เก็บภาษีสำหรับบ้านหลังแรก
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมพิจารณาเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประชาชนจำนวนมากใน 2 เรื่อง โดยเรื่องแรกกระทรวงการคลังได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาคือ การคำนวณวิธีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบใหม่ ที่จะเป็นสิ่งที่ดีกับประชาชน เพราะทุกฝ่ายจะได้รับผลดีหมดทั้งคนจน ขณะที่ชนชั้นกลางจะมีภาระน้อยลง ส่วนเรื่องที่สองคือ การเสนอร่าง พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่จะอยู่บนหลักการที่จะไม่สร้างภาระให้ผู้มีรายได้น้อย โดยจะไม่เก็บภาษีจากการซื้อบ้าน และมีที่อยู่อาศัยหลังแรกเพื่อเป็นการลดต้นทุนทางภาษีให้ประชาชน
สำหรับการขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับเอกชนในระยะต่อไป จะเน้นสร้างความสามารถในการแข่งขันตามแนวทางพัฒนาประเทศไทย 4.0 ที่ใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาเข้ามาพัฒนาการผลิตมากขึ้น โดยได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโน-โลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกันหามาตรการสนับสนุนและจูงใจให้บริษัทเอกชนเข้ามาร่วมมือกับภาครัฐในการพัฒนาอุตสาหกรรม 5 สาขา ได้แก่ 1.อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร 2.อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม 3.กลุ่มอุตสาหกรรมไฮเทคและสมาร์ทเทคโนโลยี 4.อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจดิจิตอล 5.อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ใช้ประโยชน์จากศิลปวัฒนธรรมในประเทศเป็นจุดขายได้ โดยแนวทางนี้ทำให้อุตสาหกรรมเป้าหมายสร้างความสามารถในการแข่งขันและสร้าง New S-Curve ของประเทศเห็นผลเป็นรูปธรรมเร็วขึ้น
นอกจากนี้ ได้หารือกับนายชิโร ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เกี่ยวกับความร่วมมือในการผลิตวิศวกรในสาขาที่ไทยมีความต้องการและสอดคล้องกับนโยบายอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น สาขาดิจิตอล รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ โดยรัฐบาลญี่ปุ่นยินดีจะให้องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า) มาช่วยพัฒนานักศึกษาที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาในสาขาวิศวกร ให้เข้าอบรมเพิ่มเติมในโปรแกรมเฉพาะด้าน โดยโปรแกรมนี้จะเป็นความร่วมมือกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และไจก้า จะให้มีความชัดเจนภายในปี 2560 ซึ่งเป็นปีฉลองความสัมพันธ์ระหว่างไทยและญี่ปุ่นครบรอบ 130 ปี ซึ่งโครงการนี้นอกจากจะเป็นประโยชน์กับการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศไทย ยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของประเทศญี่ปุ่น ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตในระยะยาว
“เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะไปด้วยดี เพราะขณะนี้สัญญาณต่างๆสะท้อนไปในทางที่ดีขึ้น ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็น่าจะดีขึ้นจากมาตรการต่างๆที่เม็ดเงินเริ่มทยอยลงสู่ระบบ ควบคู่กับการขับเคลื่อนมาตรการประชารัฐทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการในชุมชนที่เกี่ยวกับการเกษตรและท่องเที่ยว ปัจจัยที่น่ากังวลตอนนี้มีเพียงเรื่องเศรษฐกิจจีนเท่านั้น”.