ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05057011158&srcday=2015-11-01&search=no
| วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 610 |
เกษตรในเมือง
องอาจ ตัณฑวณิช Ongart8117@gmail.com
ชาวนาย้อนยุค แห่งทุ่งบางขวด
เป็นที่ทราบกันดีว่า เมืองบางกอก เป็นที่ราบลุ่มปากแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีตะกอนดินสะสมกันมายาวนาน จึงเป็นพื้นที่ที่มีดินอุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับทำการเกษตรเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะนาข้าว แต่เดิมชาวบางกอกแทบทุกคนจึงเป็นชาวนา มีพื้นที่ว่างสำหรับปลูกพืชกินสารพัดชนิด รวมถึงพืชที่มีประโยชน์ใช้สอยและสมุนไพรต่างๆ เราจึงได้ยินคำโบราณที่พูดกันอยู่เสมอๆ ว่า “ทำมา-หากิน” ซึ่งหมายถึง การทำให้ได้เงินมาและหาอาหารจากหัวไร่ปลายนามาทำกินเอง คนรุ่นเก่าของภาคการเกษตรจึงมีเงินซื้อที่ทางไว้ให้ลูกหลานมากมาย
แต่ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ทำงานทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาเท่านั้น แล้วเอาเงินที่หามาได้ไปซื้อทุกอย่างที่ต้องกินต้องใช้ เลยต้องเปลี่ยนมาเป็น “ทำมา-หาซื้อ” เกษตรกรก็เลยกลายเป็นกลุ่มคนจนที่มีภาระหนี้สินมากมายของประเทศไป จะว่าไปแล้ว บ้านเมืองของเราก็แปลกดีที่เอาที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดมาทำเป็นที่อยู่อาศัย และทำนิคมอุตสาหกรรม แทนที่จะทำการเกษตร จากคำที่ว่า “สวนใน-บางกอก”, “สวนนอก-บางช้าง” ปัจจุบันไม่มีอีกแล้ว เพราะบางกอกปัจจุบัน เราเห็นแต่ตึกรามบ้านช่อง ส่วนบางช้างก็กลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมไป
แต่ก็ยังมีคนบางคนในกรุงเทพฯ ที่ไม่หลงแสงสีและยึดติดกับความทันสมัย บนพื้นที่นาของบรรพบุรุษ จำนวนกว่า 40 ไร่ ของแขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม ใกล้ๆ นี้เอง ผมขับรถเข้าซอยผ่านหมู่บ้านจัดสรร ทาวน์เฮ้าส์ ตึกแถว เข้าไปไม่ไกลนัก เพื่อพบกับ คุณสมโภชน์ ทับเจริญ ซึ่งลาออกจากราชการในตำแหน่งนักวิชาการเกษตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อมาดูแลบุพการีที่สูงอายุ และมาเป็นชาวนาย้อนยุคในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ศกนี้ หลายคนบอกว่า ในกรุงเทพฯ ก็ยังพอมีชาวนาปลูกข้าวอยู่ตั้งแยะ ขอโทษครับส่วนใหญ่คนเหล่านั้นเป็นผู้จัดการนา ไม่ใช่ชาวนา เพราะมีแค่โทรศัพท์เครื่องเดียวก็ทำนาได้ เนื่องจากวางแผนแล้วจ้างคนอื่นมาทำให้ทุกอย่าง เก็บเงินอีกทีก็ที่โรงสีตอนขายข้าวนั่นแหละ คุณสมโภชน์ เล่าให้ฟังว่า “พื้นที่ที่ผมอยู่นี้เรียกว่า “บางขวด” มีคลองผ่านก็เรียกว่า คลองบางขวด ไม่ใช่ชื่อ นวลจันทร์ ตามชื่อถนนและเป็นชื่อแขวง ส่วนวัดนวลจันทร์ เป็นวัดที่อยู่ในหมู่บ้านบางขวดนี้เอง ชื่อเรียกนี้ได้มาจากตานวลกับยายจันทร์เป็นคนบริจาคที่ดินเพื่อสร้างวัด สมัยนั้นมีรถเมล์ สาย 26 เพียงสายเดียว จากอนุสาวรีย์ชัยฯ ถึงมีนบุรี ตอนเรียนมัธยมศึกษาต้องขับเรือหางยาวจากคลองบางขวด เพื่อไปเรียนที่บางกะปิ ชาวบ้านในสมัยนั้นไปมาหาสู่กัน มีข้าว มีแกง ก็แบ่งกันกิน มีอะไรเหลือเฟือก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ใช้น้ำร่วมหนอง ใช้เรือร่วมคลองกัน ถึงแม้ว่าจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว คนรุ่นก่อนล้มหายตายจากกันไปเกือบหมดแล้ว เหลือแต่คนรุ่นลูก รุ่นหลาน ก็ยังมีความผูกพันกันอยู่”
คุณสมโภชน์ เล่าให้ฟังต่อไปเรื่องการทำนาย้อนอดีต “แต่เดิมการปลูกข้าวนาปีต้องอาศัยช่วงแสงในการผลิดอก ออกรวง ปัจจุบันหันมาทำข้าวเพื่อสุขภาพคือ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่ผสมและคัดเลือกพันธุ์โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นข้าวไม่ไวแสง อายุ 120 วัน จึงต้องมีวิธีการเพาะปลูกที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ผมทำนาไม่มาก เพราะไม่ได้มุ่งเน้นว่าจะขายข้าวเป็นรายได้หลัก แต่มุ่งไปที่ทำไว้กินเอง ผมแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 แปลง แปลงละประมาณ 300 ตารางวา ทำนาไล่กันไปทีละแปลง แต่ละแปลงห่างกันประมาณ 2 เดือน รอบๆ แปลงนาปักเสาปูน ขนาด 4 นิ้ว ยาว 2.5 เมตร ห่างกันต้นละ ประมาณ 3 เมตร เพื่อใช้ยึดลวดสลิงเวลาปิดคลุมมุ้งไนล่อนสีขาว ป้องกันการทำลายจากนก ตั้งแต่วันที่ข้าวออกรวงจนถึงวันเก็บเกี่ยว”
การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ และการเพาะกล้า
ข้าวไรซ์เบอร์รี่ เป็นข้าวลูกผสมระหว่างข้าวสีนิลกับข้าวมะลิ 105 เมล็ดเล็กเรียว สีม่วงเข้ม เมื่อปลูกซ้ำแล้วซ้ำอีก จะมีการผสมตัวเองทำให้เกิดการกลายกลับไปสู่พันธุ์ตั้งต้นมากขึ้นทุกที จะพบได้เสมอๆ ว่ามักมีข้าวสีขาวปะปนอยู่ในข้าวสีม่วงจำนวนมากน้อยขึ้นอยู่กับการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่นำมาทำข้าวปลูก
การทำนาในอดีต ชาวนาจะคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อใช้ทำข้าวปลูกของเขาเอง ใส่ถังที่ทำด้วยไม้ทรงสี่เหลี่ยมเขียนติดข้างถังว่า ถังข้าวปลูก และเมื่อถึงเวลาทำนาจะนำข้าวปลูกจากถังนี้ไปตกกล้า (เพาะกล้า) และเมื่อได้อายุที่เหมาะสมก็ถอนไปปักดำ แม้กระนั้นก็ยังเอาไปปักดำในนา ที่เรียกว่า อันข้าวปลูก หมายถึงบริเวณที่ใช้สำหรับผลิตข้าวปลูกโดยเฉพาะ เพื่อไม่ให้มีเมล็ดข้าวสายพันธุ์อื่นมาปะปน ต่างจากชาวนาปัจจุบันที่ต้องซื้อข้าวปลูกทุกครั้งที่ทำนา เนื่องจากไม่มีการคัดเลือกและเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้ใช้เอง
การปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่นั้น เกษตรกรควรผลิตและคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ของตนเอง นอกจากนี้ เกษตรกรต้องมีพื้นที่ผลิตข้าวปลูกไว้ใช้เอง ข้าวปลูกเหล่านั้นจะต้องไม่มีข้าวสีขาวปนเด็ดขาด และสีของเมล็ดข้าวต้องเป็นสีม่วงเข้มจริงๆ เวลาเพาะเมล็ดข้าวให้นำข้าวพันธุ์มาแช่น้ำธรรมดาให้ท่วมมากๆ คนข้าวให้กระจาย ทิ้งไว้สัก 10 นาที ช้อนเมล็ดข้าวส่วนที่ลอยออกทิ้งไป จากนั้นหาภาชนะใหม่มาเตรียมน้ำเกลือโดยวัดความเข้มข้นของน้ำเกลือจากการลอยของไข่ไก่ดิบที่โผล่พ้นน้ำเท่าความกว้างของเหรียญบาท จากนั้นนำข้าวพันธุ์ในส่วนที่จมน้ำมาแช่ในน้ำเกลือ คนให้กระจาย ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วแยกส่วนที่ลอยทิ้งไป นำข้าวพันธุ์ในส่วนที่จมในน้ำเกลือมาใส่กระสอบที่ระบายน้ำได้ดี นำลงแช่น้ำธรรมดา 1 คืน
การเตรียมถาดเพาะกล้า ถาดเพาะที่ใช้มีจำนวน 200 หลุม ขึ้นไป นำถาดเพาะมาเรียงต่อกันเป็นแถว จำนวน 2 แถว แล้วเตรียมดินเพาะ ดินเพาะใช้ดินร่อนผ่านตะแกรง โดยร่อนดินให้ละเอียดพอควร แต่อย่าละเอียดเกินไปเพราะจะกลายเป็นฝุ่น ทำให้น้ำซึมได้ยาก เอาดินใส่ในหลุมประมาณครึ่งหลุมก่อน
นำข้าวพันธุ์หลังแช่น้ำไว้ 1 คืน แบ่งใส่ตะกร้าที่มีช่องเล็กๆ ขนาดเมล็ดข้าวเปลือกลอดได้ (ใช้ตะกร้าที่ใส่ขนมจีนขนาด 1 กิโลกรัม) แล้วเคาะส่ายโรยให้เมล็ดข้าวร่วงหล่นลงไปในหลุม หลุมละ 3-5 เมล็ด เมื่อโรยเสร็จแล้วก็ใส่ดินให้เต็มหลุม เคาะและกดดินให้แน่นทุกหลุม ปาดดินหน้าถาดเพาะให้เรียบเสมอปากหลุม
นำถาดที่ใส่เมล็ดข้าวและดินเรียบร้อยแล้ว วางซ้อนกัน 3-4 ถาด ยกไปแช่น้ำในอ่างให้ท่วม สังเกตดูจนไม่มีฟองอากาศผลุดขึ้นมา แสดงว่าน้ำเข้าไปในหลุมเพาะจนดินเปียกชุjมแล้ว การทำเช่นนี้ทุกหลุมจะมีความชื้นที่สม่ำเสมอกัน ต้นกล้าจะได้งอกพร้อมกันอย่างสม่ำเสมอ
วางถาดเพาะในโรงเรือนที่พื้นปูรองด้วยขี้เถ้าแกลบ หนาประมาณ 3-5 เซนติเมตร หลังคาโปร่งแสง แต่ต้องป้องกันหยดน้ำตกใส่หลุมเพาะกล้าเมื่อฝนตก เพราะจะทำให้ดินและเมล็ดข้าวหรือต้นกล้าหลุดกระเด็นออกจากหลุม รดน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง แต่ถ้าอากาศแห้ง หรือร้อนมากอาจต้องเพิ่มการรดน้ำเป็นวันละ 2 ครั้ง ในช่วงเช้า และเย็น ใช้เวลาเพาะกล้า 18-21 วัน อย่าให้เกินนี้ เพราะจะทำให้ต้นข้าวฟื้นตัวช้า และมีเวลาในการแตกกอน้อยลง
วิธีการเตรียมดินแปลงปักดำ
แปลงที่ใช้ปักดำจะต้องมีการเตรียมดินอย่างดี เราต้องทำดินให้มีชีวิต ดินที่มีชีวิตจะทำให้พืชที่เติบโตอยู่บนดินมีชีวิตที่สมบูรณ์ แข็งแรง ทนทานต่อการเข้าทำลายของโรคพืชและแมลงศัตรู นอกจากนี้ ดินนาที่สมบูรณ์ยังทำให้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในนา เช่น ปู ปลา กุ้ง หอย กบ เขียด ตลอดจนไส้เดือนดิน อยู่รวมกันอย่างมีความสุข สร้างนิเวศวิทยาที่สมดุลสู่กระบวนการทำเกษตรกรรม ดินที่อุดมไปด้วยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและยาฆ่าแมลง หรือการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างไม่เหมาะสม จะเร่งความตายให้แก่ดิน เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ดินป่วยหนักหรือตายไปแล้ว เราจะปลูกพืชอะไรลงไปก็ไม่ได้ผล
ขี้หมูขุนแห้งปริมาณมาก คือประมาณ 400-500 กิโลกรัม ต่อพื้นที่ 300 ตารางวา ถูกใส่ลงไปในดิน ประมาณ 1 เดือน ก่อนการปักดำ ผสมกับตอซังที่เหลืออยู่ในแปลงนาหลังการเก็บเกี่ยว นำน้ำเข้านา สูงประมาณ 5-10 เซนติเมตร ใช้รถไถนาขนาดเล็กล้อเหล็กย่ำกดซังข้าวผสมกับขี้หมูให้ลงไปอยู่ใต้ดิน ปล่อยให้เกิดการหมัก ในช่วงนี้ต้องมีน้ำขังอยู่ตลอดเวลา ใช้เวลาประมาณ 15 วัน ก็หมักเรียบร้อย การสังเกตที่สำคัญคือ ดูที่การผลุดของพรายน้ำ ถ้ายังมีการผลุดอยู่แสดงว่าการหมักยังไม่สมบูรณ์ หลังจากนั้นปล่อยน้ำออกให้หน้าดินแห้งเพื่อล่อให้เมล็ดหญ้างอกขึ้นมา ก่อนถึงวันปักดำ ประมาณ 3 วัน ใช้รถทำเทือกนาอีกครั้ง รวมทั้งปรับพื้นที่ให้ราบเรียบเสมอกัน ใช้ไหใบใหญ่ (สมัยก่อนใช้ใส่กระเทียมดอง) ใส่ดินเลนเหลวๆ ให้มีน้ำหนักลากให้เป็นร่องเพื่อเปิดทางระบายน้ำออกจากแปลงนา เมื่อเสร็จแล้วก็ทิ้งไว้ 1 คืน
เทคนิคการปักดำ
การทำนาในอดีต เมื่อกล้าได้อายุที่เหมาะสม พอจะจำได้ว่า มีอายุ 1 เดือนขึ้นไป ชาวนาจะถอนขึ้นจากดิน สลัดดินออกจนเหลือแต่ต้นติดราก มัดรวมกันเป็นกำๆ นำไปปักดำในนา การกำหนดความถี่หรือห่างขึ้นอยู่กับคนดำ หลักการคร่าวๆ คือ ดินเลวดำถี่ ดินดีดำห่าง การทำเช่นนี้ใช้กับข้าวไวแสง หรือข้าวนาปีเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันการทำข้าวไม่ไวแสง ข้าวจะติดดอกออกรวงตามอายุ หรือเรียกว่า ข้าวนาปรัง ส่วนใหญ่ชาวนามักนิยมการหว่านเมล็ดพันธุ์ที่เพาะให้งอกแล้ว ประมาณ 1 วัน ลงในเทือกนาที่เตรียมไว้ การทำนาแบบนี้ต้องใช้เมล็ดพันธุ์จำนวนมาก ถ้าปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่แบบนี้จะไม่ค่อยได้ผล และมีการกลายพันธุ์มาก
การทำนาที่ทุ่งบางขวด จึงเลือกวิธีการดำนาแบบตีตารางปาเป้า โดยทำที่ตีตารางด้วยเหล็กเส้น เชื่อมติดกันเป็นตาราง ขนาด 30×30 เซนติเมตร ม้วนเป็นวงกลมเชื่อมต่อกับเหล็กแกนกลางที่สามารถหมุนได้ นำเหล็กตีตารางมาเข็น หรือดึงบนผิวดินที่ทำเทือกนาเอาไว้
นำถาดกล้ามาจุ่มน้ำให้เปียกชุ่มก่อนดึงออกจากหลุมเพาะทีละหลุม โยนหรือปาลงไปตรงจุดตัดของตารางที่ทำไว้บนผิวดิน ไม่ต้องสนใจว่าต้นกล้าจะเอียงล้ม หรือตั้งตรงอย่างไร เมื่อปาเป้าหรือดำนาจนเสร็จให้ปล่อยหรือสูบน้ำเข้านาในระดับความสูง ประมาณ 3 เซนติเมตร เพื่อให้ดินยุบตัวกลบโคนต้นข้าว ทิ้งไว้ 1 คืน แล้วปล่อยน้ำออกให้แห้ง ถ้าปล่อยน้ำทิ้งไว้ต้นข้าวที่ล้มราบกับพื้นจะเน่าตาย ปล่อยให้ต้นข้าวแตกกอและเจริญเติบโตต่อไปอีก 70 วัน ระหว่างนั้นมีการใส่ปุ๋ย ฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพ และกำจัดวัชพืชในนาตามความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดข้าวปน และข้าวกลายพันธุ์ ที่จะทยอยออกรวงมาให้เห็นเรื่อยๆ
พอข้าวมีอายุ ประมาณ 85 วัน (หลังจากเพาะเมล็ด) จะต้องกางมุ้งไนล่อนสีขาวเพื่อป้องกันนกมากินข้าว ระยะนี้ต้องดูแลไม่ให้ขาดน้ำเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นข้าวที่ออกรวงจะเป็นข้าวลีบส่วนใหญ่ เมื่อข้าวออกรวงพุ่งแล้วคือออกเกือบทั้งหมดของแปลงปลูกแล้วนับไปอีก 2 สัปดาห์ ก็เอาน้ำออกจากนาให้แห้ง เพื่อสะดวกเวลาเกี่ยวข้าว และนำข้าวที่เกี่ยวแล้วขึ้นจากแปลงนา
การเกี่ยวข้าว และการนวดข้าว
นา 300 ตารางวานี้ จะใช้คนเกี่ยว 4-5 คน เพียงวันเดียวก็แล้วเสร็จ นำข้าวที่เกี่ยวแล้วมากองไว้บนลานปูนโดยมีฟางปูไว้ข้างล่างและมีมุ้งไนล่อนสีเขียวปูกางไว้ข้างบน ทิ้งกองข้าวที่เกี่ยวไว้ 1 วัน เพื่อให้ความชื้นลดลง และความอบร้อนจะทำให้เมล็ดข้าวหลุดออกจากรวงง่ายขึ้น จากนั้นจึงเอารถไถเล็กล้อยางย่ำแทนควาย เพื่อให้เมล็ดข้าวร่วงหลุดจากรวง แยกฟางออกจากเมล็ดข้าวด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า ดอง หรือ คันฉาย ที่มีลักษณะเป็นเหล็กปลายแหลม ส่วนปลายโค้งงอเล็กน้อย ต่ออยู่กับด้ามไม้ไผ่ขนาดพอเหมาะที่จะตักฟาง และเขย่าให้เมล็ดข้าวหล่นตกแยกจากฟางที่อยู่ด้านบน และคุ้ยฟางแยกออกไป แต่ก็ยังคงเหลือใบข้าวบางส่วนที่แยกไม่ออก ก็ใช้ตะแกรงไม้ไผ่ที่มีรู ขนาด 2×2 เซนติเมตร ร่อนเอาออก
ข้าวเมล็ดลีบ ใบข้าวขาดที่ลอดรูตะแกรงได้ ละอองฝุ่นต่างๆ จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า สีฝัด มีลักษณะทำเป็นตู้ไม้ ภายในมีใบพัดขนาดใหญ่ 4 ใบ ต่อติดอยู่กับเฟืองทดรอบและมือหมุนที่อยู่ด้านนอก บนหลังตู้มีกระบะใส่เมล็ดข้าวเปลือกหลังจากการนวดที่ยังมีสิ่งสกปรกปะปนอยู่ ใช้แรงคนหมุนเฟืองทดรอบเพื่อให้ใบพัดหมุนอย่างเร็ว ลมที่เกิดจะพัดออกไปทางด้านหลังของตู้ตัดกับเมล็ดข้าวที่กำลังร่วงหล่นลงมา ลมจะพัดพาสิ่งสกปรก และเมล็ดข้าวลีบ (ข้าวที่มีแต่แกลบมีน้ำหนักเบา) ออกไป ส่วนเมล็ดข้าวที่สมบูรณ์มีน้ำหนักมากจะไหลสวนทางลมออกมาทางด้านหน้า จึงใช้กระทาซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำจากไม้คล้ายจอบทรงเตี้ยแต่กว้าง ดึงลากเมล็ดข้าวมารวมกันไว้เป็นกองเพื่อรอการตากต่อไป
เมล็ดข้าวขณะนี้มีความชื้นสูง ไม่สามารถเก็บหรือเอาไปสีเป็นข้าวสารได้ จำเป็นต้องตากให้มีความชื้นลดลงน้อยกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ เสียก่อน ลานตากก็ใช้ลานเดียวกันกับลานนวดข้าวที่มีฟางข้าวปูบนพื้นซีเมนต์ก่อนปูทับด้วยมุ้งไนล่อนสีน้ำเงินที่เย็บติดกันเป็นผืน เกลี่ยเมล็ดข้าวเปลือกบนลานมุ้งไนล่อน หนาสัก 5 เซนติเมตร ตากแดดไว้สัก 3 วัน ระหว่างวันแต่ละวันก็เกลี่ยกลับเมล็ดข้าวเปลือกขึ้นลง เพื่อให้แห้งโดยไว หากฝนตกต้องปิดให้ดี อย่าให้เปียกฝน เมื่อข้าวเปลือกแห้งดีแล้วก็เก็บใส่กระสอบที่มีการระบายอากาศที่ดี รอการสีเป็นข้าวสารต่อไป
สรุปแล้ว การทำนาแบบนี้ยังคงความดั้งเดิมของกระบวนการแบบเก่าอยู่เป็นส่วนใหญ่ แต่มีการเปลี่ยนวิธีการทำบางอย่างให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน นำความรู้สมัยใหม่มาใช้เพื่อให้ได้ผลดี ในด้านการผลิต โภชนาการ สนใจอยากดูวิถีการทำนาของคนกรุงเทพฯ ย้อนยุค ติดต่อที่ เบอร์โทรศัพท์ (081) 831-8660 สำหรับข้าวที่ผลิตได้ไม่ต้องจองครับ เพราะมีการจองข้ามปีตั้งแต่ก่อนปลูกแล้ว