บันทึกทูตเมียนมาร์ จากลุ่มอิรวดีสู่เจ้าพระยา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05127011158&srcday=2015-11-01&search=no

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 610

เรียนรู้จากหนังสือ

“ศรีจุฬาลักษณ์”

บันทึกทูตเมียนมาร์ จากลุ่มอิรวดีสู่เจ้าพระยา

จำได้เลาเลาว่า เพื่อนผู้ปลีกวิเวกหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่กลับสู่บ้านนอก ได้พูดไว้ทำนองว่า “ความเจริญไปถึงไหน ความฉิบหายไปถึงนั่น”

เรื่องนี้เคยขอความรู้จากผู้รู้ หลายท่านก็มีหลายมุมมอง

แต่ก็มีหลายท่านมองอย่างกลางกลางว่า มีทั้งข้อดีและข้อด้อย

ขณะเดียวกัน กฎ กติกา จะต้องเข้มแข็ง มิเช่นนั้นก็จะมีผู้อ้าง และละเมิดสิทธิของผู้อื่นจนเกิดความวุ่นวาย

ความเจริญหากไปพร้อมกับความโลภ ความเห็นแก่ตัว แทนที่จะสร้างความสุข กลับกลายเป็นสร้างความทุกข์ ความเจริญจึงเสมือนยาเสพติดขนานหนึ่งเท่านั้น

ความรับผิดชอบ เป็นอีกเรื่องที่ต้องมีพร้อมกับความเจริญที่ตามไป

อันที่จริง ความเจริญคนเรามองแค่วัตถุแต่เพียงอย่างเดียว มองข้ามวิถีชีวิตและจิตใจ

เมื่อให้ความสำคัญกับวัตถุ ความเห็นแก่ตัวก็บังเกิด หายนะจะกวักมือเรียกตามมา

มาหาความรู้เรื่องดีดีไว้เป็นเกราะป้องกันสิ่งไม่ดีไม่งาม เพื่อจะได้รู้เท่าทัน

“บันทึกทูตเมียนมาร์ จากลุ่มอิรวดีสู่เจ้าพระยา” คือความรู้ที่อยากให้หามาอ่าน

เป็นบันทึกที่ท่าน หม่อง ส่วย แต๊ด ท่านเขียนหลังหมดวาระ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตเมียนมา ประจำประเทศไทย

เป็นความรู้ที่ให้ข้อคิดที่สามารถนำมาใช้ได้กับทุกคน

ภาษาที่ท่านใช้ก็เป็นภาษาที่เรียบง่าย อ่านสบายสบาย ยิ่งได้ผู้แปล อย่าง ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ ยิ่งทำให้เข้าใจง่าย ไม่ต้องเปิดพจนานุกรมหาความหมาย

ถือเป็นหนังสือที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศได้เป็นอย่างดี

ระยะเวลา 6 ปีกว่า ที่ท่าน หม่อง ส่วย แต๊ด อยู่เมืองไทย ท่านได้บันทึกถ่ายทอดเหตุการณ์สำคัญสำคัญให้รับรู้อย่างไม่มีอคติ

บันทึกความรู้เรื่องนี้ จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์มติชน จำหน่ายในราคา เล่มละ 340 บาท

ท่านที่ไม่ได้ไปงานสัปดาห์หนังสือ ก็แวะหาซื้อตามแผง หรือร้านหนังสือได้ทั่วประเทศ

ถ้าเป็นนักเลงหนังสือขนานแท้ ต้องไม่พลาด

นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว จะซื้อเป็นของฝาก ของขวัญ ก็ยิ่งจะได้บุญ

อย่าลืมว่าการอ่านหนังสือนั้น ทางการแพทย์ถือว่าเป็นการบริหารสมอง และสร้างความจำ

ไม่อยากเป็นคนขี้หลง ขี้ลืม ก็ต้องอ่านให้มาก

ของอย่างนี้ไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง

เรื่อง – ลมหนาวเดือนธันวาฯ

คอลัมน์ – กวีชาวบ้าน

โดย – แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า

“หยาดน้ำค้างหยดอารมณ์ให้วาบหวาม

ใจที่นิ่งจึงวู่วามจนสั่นไหว

หนาวอารมณ์หนาวแม้อิงข้างกองไฟ

เหงาจนลึกสุดหัวใจใดจะปาน”

ธันวาคม

สายลมแผ่วพลิ้วไหวใจสะท้าน

ภาพความหลังครั้งเมื่ออดีตกาล

ก็คล้ายคล้ายผลิบานขึ้นกลางใจ

คิดถึงบ้าน

เนิ่นนานไม่เคยเข้าเฉียดใกล้

ต้นลั่นทมคงทิ้งกิ่ง ก้าน ใบ

เรือนที่อยู่ก็คงไร้ใครเหลียวแล

พลัดบ้านมาเนิ่นนาน

คล้ายลูกนกผ่านวัยจากอกแม่

ไม่รู้ทางคืนกลับเพราะพ่ายแพ้

ต่อชีวิตที่อ่อนแอยากกลับคืน

ข่าวสุดท้ายที่ได้รู้

ว่าร่างกายแม่สู้อย่างขมขื่น

ทั้งเจ็บปวด ปวดเจ็บ ทุกข์กล่ำกลืน

จึงไม่อาจทนฝืนดูโลกภิรมย์

ฉันคือผู้พเนจร

คือเสี้ยวหนึ่งแห่งละครโลกขมขม

ถูกความฝันจับเหวี่ยงสู่ปลักตม

ค่อยค่อยจม ค่อยค่อยจม ค่อยค่อยตาย

โลกนี้ใหญ่เกินไปใครจะอยู่

ยิ่งหยัดยืนขึ้นสู้ยิ่งแพ้พ่าย

ยิ่งหยัดยืนขึ้นสู้ยิ่งเจ็บกาย

ฝันก็แค่สิ่งงมงายปลอบใจตน

ความเข้มแข็งครั้งสุดท้าย

ชีวิตนี้ไร้ความหมาย, ใครจะสน

จะขอกลับคืนเรือน, เรือนสร้างคน

กราบเท้าแม่อีกซักหนตรงตีนเรือน

“หยาดน้ำค้างลอยคว้างสู่เบื้องล่าง

รดหัวใจคนอ้างว้างและไร้เพื่อน

ภาพนัยน์ตาคือความหวังอันรางเลือน

โอ้…นกเถื่อนออกจากเมืองสู่เรือนตาย”

Leave a comment