ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160420/226188.html
อำนาจ! : ขยายปมร้อน สำนักข่าวเนชั่น โดย อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ
“อำนาจ” นั้น ยิ่งใช้ยิ่งสนุก ยิ่งใช้ยิ่งเพลิน เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์คนหนึ่งอยู่เหนือกว่ามนุษย์อีกคนหนึ่ง ซึ่งอาจหมายรวมถึงคนกลุ่มหนึ่ง อยู่เหนือคนอีกกลุ่มหนึ่ง และอำนาจเช่นว่ายิ่งเมื่อใช้เรื่อยๆ ก็จะยิ่งหลงยิ่งไหล ในพลังที่ตัวเองมี
แต่ในทางกลับกัน ย่อมสร้างภาวะความอัดอั้นให้ผู้คนที่อยู่ใต้อำนาจนั้นๆ เพราะไม่มีใครที่ชอบให้คนอื่นอยู่เหนือตัวเอง ดังนั้น หากใช้เกินเลยไปแบบไม่ถูกต้องก็ย่อมทำให้อำนาจนั้นเสื่อมลง เนื่องด้วยอำนาจมิใช่อยู่ได้ด้วยตัวมันเอง หากแต่ต้องมีฐานการสนับสนุนที่แข็งแกร่ง ที่เรียกว่าความชอบธรรม การใช้อำนาจที่ปราศจากความชอบธรรมนั้น ย่อมทำให้ผู้ใช้อำนาจนั้นเสื่อมลงเรื่อยๆ
วันนี้เราจะยกตัวอย่างสามเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น โดยไม่บอกหรือฟันธงว่านี่คือการใช้อำนาจในลักษณะไหน ในลักษณะที่ถูกหรือผิด แต่การใช้อำนาจในทั้งสามเหตุการณ์กำลังถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมและความชอบธรรม
กรณีแรกกับการรณรงค์ รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ในการทำประชามติ ตามปกติแล้วการทำประชามตินั้นสิ่งที่จำเป็นที่สุดคือ การให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลของเรื่องที่จะไปออกเสียงประชามติได้อย่างเต็มที่ ต้องเปิดโอกาสให้ทั้งฝ่ายหนุนและฝ่ายต้านออกแคมเปญรณรงค์ได้ เพื่อให้ประชาชนสามารถชั่งน้ำหนักของทั้งสองฝ่ายได้
แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือ มีความพยายามปิดกันการรณรงค์ รับหรือไม่รับร่าง ซึ่งนั่นหมายถึงการปิดโอกาสการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน ล่าสุดหนักถึงขนาดที่มีกลุ่มที่ทำเสื้อรณรงค์ “Vote No” แล้วปรากฏว่าถูกพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บอกห้ามใส่ ใครใส่ก็จะให้ถอด
“รณรงค์ไม่ได้ ห้ามรณรงค์ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ชอบก็ชอบ รวมถึงการใส่เสื้อโหวตโน หรือ โหวตเยส ก็ไม่ได้ จะไม่มีการเชียร์ หากเจอต้องถอดออก”
นี่จึงเป็นหนึ่งของการใช้อำนาจที่ถูกตั้งคำถามว่าเพื่ออะไร เป็นไปบนพื้นฐานอะไร
อีกเหตุการณ์ที่ถูกตั้งคำถามคือการจับกุมตัว “วัฒนา เมืองสุข” จริงอยู่ที่นายวัฒนา เป็นนักการเมืองและบางคนจะมองว่าการกระทำของเขานั้นหวังผลทางการเมือง หรือเบื้องหลัง และที่สำคัญขัดต่อคำสั่งของ คสช.
แต่หากพิจารณากันจริงๆ แล้วการกระทำของ “วัฒนา” นั้น ย่อมถูกตั้งคำถามตามหลักสากลได้ไม่ยาก เพราะสิ่งที่เขาทำคือการ “แสดงความเห็น”
การแสดงความเห็น อาจจะผิด อาจจะถูก อาจจะถูกใจใครบางคน หรืออาจจะไม่ถูกใจผู้กุมอำนาจ แต่การแสดงความเห็นตามหลักสากลนั้นไม่ควรนับเป็นความผิดเพราะถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคล และการให้ทหารไปจับกุม หรือนำไปกักขังควบคุมนั้น ย่อมผิดหลักสากลอย่างเห็นได้ชัด
จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นตัวแทนทูตของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และแคนาดา ไปสังเกตการณ์ในครั้งนี้ด้วย และจะไม่แปลกที่อาจจะมีความเคลื่อนไหวกดดันจากนานาชาติตามมา
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งการใช้อำนาจที่ถูกตั้งคำถาม โดยเฉพาะต่อหลักสากล
และอีกเหตุการณ์ที่กำลังเป็นที่โจทก์ขานกันก็คือ การบรรจุบุตรชายของ “พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา” เข้ารับราชการทหาร ด้วยวิธีพิเศษ ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า การกระทำแบบนี้เหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะคำชี้แจงที่ว่า ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่มีคุณสมบัติพิเศษ ทำให้หลายคนสงสัยว่ามีความพิเศษถึงขนาดไหน เพราะวุฒินิเทศศาสตร์นั้นเรียกได้ว่ามีเกลื่อนเมือง ไม่ได้ขาดแคลนแต่อย่างใด
เราเคยตั้งคำถามกับนักการเมืองถึงคำว่าจริยธรรม และประโยชน์ทับซ้อนกับเรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแทรกแซงการแต่งตั้ง หรือโยกย้ายข้าราชการ และในกรณีนี้ผู้ที่เซ็นคำสั่งรับก็คือ “บุพการี” ของผู้ที่จะเข้ารับราชการ ซึ่งมองอย่างไรก็หนีไม่พ้นคำว่า “ผลประโยชน์ทับซ้อน”
แต่ดูเหมือนยิ่งชี้แจงยิ่งเข้ารกเข้าพง ไม่ว่าจะเป็นการที่ “พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา” บอกว่า “มีหลายคนในกองทัพที่ทำแบบนี้”
หรือคำชี้แจงของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ที่บอกว่า “เป็นอำนาจของผม”
อำนาจหากใช้ให้ดีก็เป็นประโยชน์ แต่หากใช้อย่างไม่ระวัง หรือลุแก่อำนาจ สิ่งนั้นก็จะกลับกลายมาเป็นหอกทิ่มแทงตัวเอง ประวัติศาสตร์ก็พิสูจน์ทราบด้วยตัวเองมาหลายครั้งแล้วว่า อำนาจทำให้คนยิ่งใหญ่ได้พอๆ กับที่ทำให้คนตกต่ำถึงที่สุดได้เช่นเดียวกัน และสถานการณ์การเมืองที่แหลมคมเช่นนี้แค่พลิกฝ่ามือก็อาจกลายเป็นรอง
