ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160427/226595.html
‘เจ้าของพรรค’ : ขยายปมร้อน สำนักข่าวเนชั่น โดย อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ
การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ “บรรหาร ศิลปอาชา” อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของประเทศไทย สร้างความเสียใจให้แก่ผู้คนจำนวนมาก เพราะชื่อนี้ทำคุณงามความดีและประโยชน์ให้แกประเทศไม่น้อย
แต่ในเวลาเดียวกันที่ทุกคนเสียใจ ก็เกิดข้อสงสัยพอๆ กับข้อสงสัยที่ “พรรคชาติไทย” จะมีอนาคตอย่างไรต่อไปบนเวทีการเมืองไทย
บางคนอาจตั้งข้อสังเกตแล้วบอกว่าจะกล่าวถึงพรรคชาติไทยได้อย่างไร เพราะ “พรรคชาติไทย” นั้นได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคไปตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551 แล้ว แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นคือ แม้พรรคจะถูกยุบไป แต่องคาพยพเดิมยังอยู่ และเกิดใหม่ภายใต้ชื่อ “พรรคชาติไทยพัฒนา” แม้กรรมการบริหารพรรคจะถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า “ใคร” เป็นตัวจริงในพรรค
ดังนั้น “พรรคชาติไทยพัฒนา” ก็คือ “พรรคชาติไทย” นั่นเอง และคอการเมืองก็คุ้นปากกับชื่อ “ชาติไทย” มากกว่า “ชาติไทยพัฒนา” เสียด้วยซ้ำไป
ยิ่งไปกว่านั้นที่ทำให้คนรู้สึกว่าทั้งสองพรรคคือพรรคเดียวกันก็คือ คนที่กุมบังเหียนพรรคคือคนคนเดียวกันอย่าง “บรรหาร ศิลปอาชา” นั่นเอง
ว่ากันว่าความเป็น “บรรหาร” นั้นยิ่งใหญ่กว่าตัวพรรค หากเปรียบเป็นฟุตบอล เขามิใช่ผู้เล่นที่ใหญ่กว่าสโมสร แต่เขาเป็นเจ้าของทีม และเป็นทุกๆ อย่างของพรรคนี้ จนบางคนเรียกว่า “พรรคบรรหาร” ด้วยซ้ำไป
หากไปดูประวัติ ก็ไม่แปลกที่เขาจะมีภาพลักษณ์ที่ทับซ้อนกับความเป็นพรรค เพราะเขาค่อยๆ เติบโตในสายการเมืองมากับพรรคนี้ จนพรรครุ่งเรืองที่สุดก็มีเขาอยู่ในตำแหน่งสูงสุด หรือกระทั่งพรรคถดถอยเขาก็ร่วมอยู่ด้วยในทุกสถานการณ์
“บรรหาร” ก้าวเข้าสู่การเมืองพร้อมๆ กับการตั้งพรรคชาติไทย โดยการเชื้อเชิญของ “บุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ” ภายใต้หัวหน้าพรรคที่ชื่อ “ประมาณ อดิเรกสาร” เบื้องต้นมีเลขาธิการชื่อ “พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ” และมี “บรรหาร” เป็นรองเลขาธิการพรรค
ต่อมาปี 2523 “ชาติชาย” ขยับขึ้นเป็นรองหัวหน้า “บรรหาร” ก็ก้าวขึ้นเป็นเลขาธิการพรรค จากนั้นเขาก็ครองตำแหน่งนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2537 เขาก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรค และในอีก 1 ปีต่อมาเขาก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจาก “พรรคชาติไทย” ได้ ส.ส.มากที่สุดในสภาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
จากนั้นพรรคชาติไทยก็เริ่มถดถอยจนเหลือแค่พรรคขนาดกลาง แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ เขาอยู่ร่วมทุกรัฐบาล ซึ่งลักษณะนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ทำได้ หากแต่ต้องเป็น “บรรหาร” เท่านั้น ที่แม้แต่ “ทักษิณ ชินวัตร” วันที่เรืองอำนาจสุดๆ ก็ยังเกรงใจชวนมาร่วมรัฐบาล
กระทั่งปี 2551 พรรคชาติไทย ถูกยุบ “บรรหาร” ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งห้ามยุ่งเกี่ยวการเมือง แต่ทางพฤตินัยใครๆ ก็รู้ว่าพรรคนี้เป็นของใคร ใครเป็นคนบริหาร หัวหน้าพรรคคนแรกที่ถูกเลือกมาก็คือ “ชุมพล ศิลปอาชา” น้องชายแท้ๆ ของเขานั่นเอง และคนต่อมาก็คือ “ธีระ วงศ์สมุทร” อดีตอธิบดีกรมชลประทาน ที่รู้กันว่ามีสายสัมพันธ์อันยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน
วันที่ “บรรหาร” ถูกเพิกถอนสิทธิ เขาก็มีอำนาจบารมีในการเจรจาการเมือง นอกจากนี้เขาก็มีบารมีในการบริหารราชการในกระทรวงที่พรรคดูแล ว่ากันว่าใหญ่กว่ารัฐมนตรีเสียด้วยซ้ำไป
หลายคนที่อยู่ใต้สังกัดพรรคก็ยอมรับกันตรงๆ ว่าอยู่เพราะ “บรรหาร”
เขาคือทุกสิ่งทุกอย่างของพรรคนี้ จึงไม่แปลกว่าเมื่อสิ้นเขา จะมีคำถามว่าพรรคนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
แต่ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคชาติไทยนั้น ห่างไกลกับคำว่า “พรรคการเมือง” ตามนิยามที่ควรจะเป็นไปไกลโข เพราะที่ถูกต้องพรรคการเมืองไม่ควรเป็นของใครคนใดคนหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว หากแต่ควรเป็นของกลุ่มคน และบริหารโดยกลุ่มคน มีสถานะเป็นองค์กรหรือสถาบันที่เปิดกว้าง
การที่ให้พรรคการเมืองขึ้นกับคนเพียงคนเดียวก็ไม่ต่างจากบริษัทส่วนตัว ซึ่งจะทำให้การตัดสินใจอะไรก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าของไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง และเมื่อเจ้าของไม่อยู่ไม่ว่าในกรณีใดๆ พรรคก็ต้องสิ้นตามไปด้วย ต่างจากพรรคการเมืองจริงๆ ที่แม้ผู้บริหารพรรคจะไม่อยู่แต่ก็จะมีตัวตายตัวแทน เป็น “สถาบันทางการเมือง” ที่แท้จริง
เอาเข้าจริงในเมืองไทยก็ยังมีพรรคอีกจำนวนมากที่เป็นเช่นนี้ และรอวันว่าเมื่อเจ้าของหมดบุญ หรือสิ้นอำนาจบารมีพรรคก็จะจบตามลงไปในไม่ช้า
