ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160428/226657.html
โฉมใหม่กองทัพ‘กะทัดรัด ทรงประสิทธิภาพ’ : ตะลุยกองทัพ
การปรับลดกำลังพลของกระทรวงกลาโหม เพื่อรองรับแผนปฏิรูปกองทัพ 20 ปี ให้มีขนาดเล็ก กะทัดรัด และมียุทโธปกรณ์ เทคโนโลยีที่ทันสมัย ตลอดจนขีดความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่หลากหลายมิติ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและรัฐบาล ตามแผนยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม ที่พิจารณาจากความมั่นคงของโลก ภัยคุกคามของภูมิภาค สถานการณ์ภายในประเทศ ให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไป
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า ต้องเป็นกองทัพชั้นนำ ที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาความมั่นคงของรัฐ และสามารถส่งเสริมความมั่นคงของภูมิภาค โดยกำหนดแผนพัฒนาเสริมสร้างกองทัพแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระหว่างปี 2560-2564 ระยะที่ 2 ระหว่างปี 2565-2569 ระยะที่ 3 ระหว่างปี 2570-2574 ระยะที่ 4 คือ 2575-2579
ทั้งนี้ตามแผนยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหมได้เล็งเห็นว่า ภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า ไม่ใช่ภัยคุกคามที่ต้องใช้กำลังขนาดใหญ่เข้าปราบปรามเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา จึงมีความจำเป็นต้องลดคน แต่ต้องคงกำลังกองทัพให้เหมาะสม ทัดเทียมกับประเทศในภูมิภาคเพื่อความสมดุลของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การต่อรองผลประโยชน์ของชาติ โดยที่ไม่ต้องอาศัยพึ่งพาประเทศมหาอำนาจ
“เป้าหมายกองทัพในอนาคต ต้องเล็ก กะทัดรัด คล่องตัว มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเรามองว่าการใช้กำลังขนาดใหญ่จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน แต่เพื่อความไม่ประมาท จะต้องพัฒนากำลังพลที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมถึงการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ต้องทันสมัย มีขีดความสามารถทัดเทียมประเทศรอบบ้าน เพราะประเทศที่เจริญแล้ว สุดท้ายต้องคงกำลังกองทัพที่มีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมรองรับ และได้ใช้กองทัพในภาวะวิกฤติเสมอมา” พล.ต.คงชีพ ตันตระวานิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว
โดยที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดมาแล้ว 3 โครงการ ตามแผนปฏิรูปกองทัพ ในการปรับลดกำลังพล คือ 1.ปรับลดระดับนายทหารชั้นนายพล 2.ปรับลดกำลังพลที่สูงอายุ หรือผู้ที่มีอายุราชการตั้งแต่ 50 ขึ้นไป มุ่งเน้นกำลังพลผู้สูงอายุในส่วนกำลังรบ 3.กำลังพลทุกชั้นยศที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป โดยผลการดำเนินการทั้ง 3 โครงการในรอบ 5 ปีที่ผ่านมามีกำลังพลที่เข้าร่วมโครงการเกือบ 24,475 นาย และมีการขยายโครงการต่อไปอีก 3 ปี
โดยการดำเนินการควบคู่ไปกับการปรับการเข้ามาให้น้อยลง เช่น ลดการผลิตนักเรียนนายร้อย นักเรียนนายเรืออากาศ ผลิตนักเรียนนายสิบ ตลอดจนการผลัดดัน พ.ร.บ.กำลังพลสำรอง ได้แก่ นักศึกษาวิชาทหาร ทหารเกณฑ์ปลดประจำการ เพื่อนำมาใช้ช่วยเหลือประชาชนในยามประเทศประสบภัยพิบัติ ซึ่งจะทำให้กองทัพไม่จำเป็นต้องคงกำลังรบหลัก ถือเป็นการลดการสิ้นเปลืองงบประมาณ รวมถึงการใช้ข้าราชการพลเรือนของกระทรวงกลาโหมโดยไม่ต้องมีชั้นยศ
ทั้งนี้ในส่วนของอาวุธยุทโธปกรณ์ เน้นความทันสมัย มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางบกและทางทะเล โดยแผนพัฒนาเสริมสร้างกำลังกองทัพ จะจัดเป็นแพ็กเกจของยุทโธปกรณ์ โดยมอบหมายให้แต่ละเหล่าทัพไปเสนอความต้องการมาว่า ในช่วงเวลา 4 ระยะ แต่ละเหล่าทัพจำเป็นต้องมียุทโธปกรณ์อะไรบ้าง เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถให้ทัดเทียมกับรอบๆ ประเทศ เช่น ความต้องการเรือดำน้ำ ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งประเทศรอบบ้านมีเรือดำน้ำ ดังนั้น กองทัพเรือไทยควรจะมีเพื่อต่อรองผลประโยชน์ระหว่างกัน หากหาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้
อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหมและกองทัพเป็นเพียงหน่วยปฏิบัติในการใช้กำลัง การที่จะเดินไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ จะต้องได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายนโยบาย คือรัฐบาล และการจัดสรรงบประมาณที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องและประชาชน โดยต้องคำนึงถึงเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ความหวาดระแวงของฝ่ายนโยบายต่อฝ่ายปฏิบัติ นับเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การปฏิรูปกองทัพไปไม่ถึงไหน
