ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
| วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 610 |
วิถีท้องถิ่น
กฤช เหลือลมัย lualamai@yahoo.com
Root Garden : สวนรากหญ้าแห่งความฝันในเมืองใหญ่
“…คาเฟ่ธรรมชาติสีเขียวกลางใจเมือง สุดเก๋…”
ร่วม 10 เดือน มาแล้ว ที่พื้นที่เล็กๆ ไม่เกิน 300 ตารางวา ปากซอยทองหล่อ 3 กลางกรุงเทพฯ ซึ่ง ครูองุ่น มาลิก คุรุชนผู้อารีได้มอบให้มูลนิธิไชยวณา เพื่อให้ดำเนินกิจกรรมรณรงค์ปัญหาที่ดินและสิ่งแวดล้อม ได้รับฉันทานุมัติจากมูลนิธิให้ดำเนินโครงการ Root Garden กิจกรรมตัวอย่างเพื่อพัฒนาที่ดิน ซึ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์ในเมืองใหญ่ โดยภาคีสมาชิกผู้ร่วมดำเนินงาน ซึ่งประกอบด้วย OXFAM (องค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน) เครือข่ายนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนเครือข่ายสลัม 4 ภาค สำนักงาน สสส. เป็นอาทิ ได้วางแผนพัฒนาและสร้างกิจกรรมด้านวัฒนธรรมในพื้นที่ ตั้งแต่ปรับปรุงที่ดินรกร้างนี้ให้มีแปลงนาขนาดเล็ก คอกไก่และแพะ โรงเพาะเห็ด แปลงผักสวนครัว ร้านเบเกอรี่และกาแฟออร์แกนิก ตลอดจนจัดพูดคุยเสวนาเกี่ยวกับสินค้าปลอดสารพิษ ปัญหาที่ดิน ภูมิหลังของพื้นที่ มีเวิร์กช็อปสอนปลูกผักในเมือง วิธีจ่ายและจัดการกับข้าวอย่างประหยัด ฯลฯ โดยกิจกรรมเหล่านี้ดำเนินต่อเนื่องมาทุกวัน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2558
ฟังดูเหมือนจะออกแนวหนักๆ เอาการ นั่นก็เป็นเพราะว่า หนึ่งในภาคีสมาชิก คือ OXFAM นั้น เป็นองค์การที่ติดตามปัญหาความเหลื่อมล้ำ การกระจุกตัว และกฎหมายที่ดินในเมืองไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งได้เคยร่วมกับองค์กรเครือข่ายเสนอกฎหมาย 4 ฉบับ คือกฎหมายภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า ที่สนับสนุนการเก็บภาษีคนที่มีที่ 50 ไร่ ขึ้นไป กฎหมายโฉนดชุมชน สนับสนุนให้คนจนรวมตัวกันเข้าถึงที่ดินได้ง่ายขึ้น รณรงค์ให้ที่ดินที่ถูกทิ้งร้างต้องเสียภาษีมากกว่าที่ใช้ประโยชน์ กฎหมายธนาคารที่ดิน และกฎหมายกองทุนยุติธรรม ซึ่งพยายามให้คนจนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับที่ดินได้จริงในทางปฏิบัติ
แน่นอนว่า สิ่งที่เสนอเหล่านี้ดูเหมือนยากที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะในยามที่อำนาจการปกครองในบ้านเมืองดูมืดดำ และมุ่งเอื้อประโยชน์ให้คนที่ได้ประโยชน์อยู่แล้ว แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงพื้นฐานที่ว่า ที่ดินในประเทศไทยกว่า 80% ล้วนถือครองโดยคนเพียง 20% นั่น เท่ากับว่า “ที่ดิน” ซึ่งในแง่มุมสาธารณะอื่นๆ ยังหมายถึงหลักประกันความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพมวลรวมของชุมชน ตลอดจนต้นทุนของการจัดการพื้นที่อย่างยั่งยืนนั้นย่อมเป็นประเด็นสำคัญในสังคมสมัยใหม่ ที่ไม่อาจจะละเลยเพิกเฉยได้อีกต่อไป
และความเป็นจริงก็คือ เราคงไม่สามารถมองโลกด้วยตาข้างเดียวได้ตลอดไปเป็นแน่…
…
“…มีแพะให้เด็กๆ ป้อนหญ้า มีเล้าไก่ บ่อปลา ถ้าหิว ก็มีเมนู Sandwich และไข่กระทะ…”
กิจกรรมพิเศษที่จะพบเจอใน Root Garden เฉพาะวันอาทิตย์ ก็คือ การออกร้านของเครือข่ายสินค้าอินทรีย์กว่า 10 ราย อาทิ สวนผักคนเมือง (ผักปลอดสาร) กินเปลี่ยนโลก (วัตถุดิบอินทรีย์จากแหล่งต่างๆ) ร้านคนจับปลา (กลุ่มประมงชายฝั่งจากประจวบคีรีขันธ์) กลุ่มโฉนดชุมชนบ้านลานตากฟ้า-คลองโยง (ผักสวนครัวอินทรีย์) บ้านนาวิลิต เพชรบุรี (ข้าวปลอดสารสายพันธุ์ต่างๆ) ซึ่งเมื่อรวมกับประเด็นหัวข้อสนทนาแนวๆ การจัดเวิร์กช็อปง่ายๆ ดนตรีโฟล์กสนุกๆ ในช่วงเย็น และบรรดา แพะ ไก่ ปลา ตลอดจนแปลงผักสวนครัว ที่ดูเป็นของผิดที่ผิดทางในละแวกย่านทองหล่อแล้ว ก็ทำให้ Root Garden มีสภาพไม่ต่างจาก “พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง” ขนาดย่อม สำหรับชาวเมืองกรุงกลางมหานครที่ห่างเหินจากวิถีชีวิตแบบนี้ไปกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว โดยที่ร้านรวงจำหน่ายสินค้านั้นก็มีสถานะแทบไม่ต่างจากร้านขายของที่ระลึกในมิวเซียมนั่นเอง
ผมเองเคยไปที่นี่หลายครั้ง และพบด้วยความประหลาดใจว่า ในช่วงหลังๆ ผู้สนใจชาวต่างประเทศเริ่มทวีจำนวนขึ้นจนเกือบเท่าคนไทย และสินค้าพืชผักปลอดสารนั้นขายดีขึ้นมาก เริ่มมี “ขาประจำ” ชนิดที่ผมจำหน้าได้ แสดงว่าอย่างน้อย กิจกรรมการขายของที่นี่ได้ช่วยอุดหนุนทั้งผู้ผลิต และอุดช่องว่างความต้องการสินค้าอินทรีย์ราคายุติธรรม ที่คนกรุงจำนวนไม่น้อยปรารถนาจะเข้าถึง แต่ไม่รู้แหล่งซื้อขายว่าอยู่ที่ไหนบ้าง ได้ค่อนข้างดี
ส่วนประเด็นที่ จักรชัย โฉมทองดี ผู้ประสานงาน OXFAM ตั้งเป้าไว้แต่เดิมว่า คนที่มาควรจะได้ “มีทัศนคติเรื่องที่ดินรกร้างเปลี่ยนไป รู้สึกอยากทำกิจกรรมในพื้นที่เพื่อคืนชีวิตให้ที่ดินกลับมามีประโยชน์ต่อชุมชน…” นั้น คงเป็นเรื่องที่ต้องรณรงค์ในระยะยาวกันต่อไป
…
“…เหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจ หลบหลีกความวุ่นวายในเมืองใหญ่ นั่งจิบช็อกโกแลตร้อนบนเก้าอี้ไม้ สูดไอหอมของกองฟาง ที่คาเฟ่สวนผักที่ผุดขึ้นกลางใจเมือง…”
ดูเหมือน “ภาพ” ของ Root Garden ที่ถูกผลิตซ้ำในสื่อและโซเชียลมีเดียจะหนีไม่พ้นแหล่งรวมภาพมายาในอุดมคติที่ชีวิตคนกรุงได้ผ่านเลยไปแล้ว แต่ก็ฝันถึงอยู่บ้างเป็นครั้งคราว…ฝันจะเป็นเจ้าของที่นาผืนน้อย โรงรีดนม แปลงผักยกร่อง ดำรงชีพไปในแนวทาง “เศรษฐกิจพอเพียง” ฝันถึงการกินอยู่แบบสโลว์ไลฟ์ ขณะเดียวกันก็ขอกาแฟสดดีๆ เบเกอรี่อร่อยๆ กิน แถมพอหนำใจแล้วยังซื้อผักอินทรีย์ราคาถูกกว่าในห้างติดไม้ติดมือกลับบ้านได้อีก
อย่างไรก็ดี เท่าที่ผมรู้ มูลนิธิไชยวณาคงจะไม่ต่อสัญญาให้กิจกรรมนี้ในปีต่อไป เท่ากับว่าลมหายใจของ “สวนรากหญ้า” กลางย่านสุขุมวิทแห่งนี้กำลังจะขาดห้วงลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และก็ยังไม่มีข่าวว่ากิจกรรมใหม่จะเป็นไปในลักษณะไหน หรือเครือข่ายเดิมจะไปริเริ่มนับหนึ่งใหม่ในที่แห่งใด
ผมได้แต่มองโลกในแง่ดีว่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตแห่งนี้อาจทำให้หลายคนที่มาเยือนเริ่มมองเห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำของที่ดินทำกิน ตั้งข้อสงสัยถึงระบบพ่อค้าคนกลางที่ทำให้สินค้ามีราคาแพงและผู้ผลิตไร้ทางเลือกในกลไกตลาด ครุ่นคิดถึงผลกระทบของเรืออวนลากที่เบียดบังคนประมงพื้นบ้าน ฯลฯ อาจมีการเสวนาพูดคุยบางครั้ง ที่ฉุกใจให้คนกรุงนึกถึงการทำสวนครัวแบบง่ายๆ การเก็บพืชผักที่มีมากมายข้างทางมาปรุงอาหาร หรือกระทั่งคิดถึงการพัฒนาพื้นที่รกร้าง ให้เป็น “ป่าอาหาร” กลางเมือง อย่างที่หลายประเทศในอเมริกาใต้เคยทำได้ผลมาแล้ว?นั่นก็คือ ถ้าโชคดีที่สุด Root Garden อาจกระตุ้นไอเดียให้ใครบางคนมองเห็นแง่มุมอื่นๆ ของเมืองใหญ่ได้บ้าง
แม้ว่า ในที่สุด…ชีวิตของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็จำต้องสิ้นสุดไปตามวัฏจักรกาลเวลาก็ตาม