ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/610701
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 26 เม.ย. 2559 05:30

มนุษย์เงินเดือนได้เฮกันดังๆ!! หลัง ครม.ไฟเขียวปรับโครงสร้างภาษี รายได้ไม่ถึง 2.6 หมื่นไม่เสียภาษี ไปเมื่อวันที่ 19 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยเพิ่มการหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนในหลายรายการ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้จ่ายภาษีกันน้อยลงในปีภาษี 2560
แน่นอนว่า การปรับโครงสร้างอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะส่งผลให้มนุษย์เงินเดือนเสียภาษีในอัตราน้อยลง แต่เงื่อนไขภายใต้โครงสร้างใหม่จะเป็นไปในรูปแบบไหน? วันนี้ “ไทยรัฐออนไลน์” จะพาคุณผู้อ่านไปดูรายละเอียดกันแบบชัดๆ …
ปรับอัตราการจ่ายของโครงสร้างภาษี
การปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้มีการเปลี่ยนการหักค่าใช้จ่ายของเงินเดือน ค่าจ้าง ค่านายหน้า ฯลฯ อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งจะมอบประโยชน์ให้กับคนหาเช้ากินค่ำมากยิ่งขึ้น โดยจากเดิมที่ต้องเสียร้อยละ 40 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 60,000 บาท ก็ปรับใหม่เป็นร้อยละ 50 ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
ในส่วนของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร หรือ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และสิทธิอย่างอื่น สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 50 ของเงินได้ดังกล่าว แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้ จากเดิมให้หักได้เฉพาะค่าลิขสิทธิ์ ร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 60,000 บาท
ปรับปรุงค่าลดหย่อน
สำหรับค่าลดหย่อนภายใต้โครงสร้างใหม่ ผู้มีเงินได้ และคู่สมรส จะได้เพิ่มค่าลดหย่อน จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท ส่วนกรณีที่คู่สมรสต่างฝ่ายต่างมีเงินได้เหมือนกัน ให้หักลดหย่อนรวมกันได้ไม่เกิน 120,000 บาท ขณะที่บุตร จากเดิมจำกัดค่าลดหย่อนไม่เกิน 3 คน คนละ 15,000 บาท ก็เปลี่ยนใหม่เป็นคนละ 30,000 บาท ไม่จำกัดจำนวน แต่ก็ได้มีการยกเลิกในส่วนค่าลดหย่อนการศึกษาบุตร จากเดิมที่ให้หักลดหย่อนกันได้คนละ 2,000 บาท ทางด้านภาษีกองมรดก ก็ได้ขยับค่าลดหย่อนเพิ่มเป็น 60,000 บาท จากเดิมให้หักลดหย่อนได้ 30,000 บาท
ในส่วนของห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล จากเดิมให้หักลดหย่อนแก่หุ้นส่วน คนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท ก็มีการปรับใหม่เป็นคนละ 60,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 120,000 บาท
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ มีการปรับเป็นเท่าไร ลองมาดู!…
ทั้งนี้ คนที่ทำงานมีรายได้ ก็เป็นหน้าที่ประจำทุกปี ที่จะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเมื่อถึงอัตราที่กำหนด ซึ่งโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตัวใหม่ ก็ได้ปรับปรุงเกณฑ์เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำโดยแบ่งเป็น ดังนี้
กรณีมีรายได้จากการจ้างแรงงาน ซึ่งก็หมายถึง เงินเดือน หรือ ค่าจ้าง เพียงประเภทเดียว
คนที่โสด จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 50,000 บาท ก็ปรับใหม่เป็นต้องมีเงินได้เกิน 100,000 บาท แต่ผู้ที่สมรสแล้ว จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 100,000 บาท ก็ปรับให้เป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 200,000 บาท
กรณีที่มีเงินได้หลายทาง ทั้งจากการจ้างแรงงาน และจากประเภทอื่นด้วย หรือกรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน
ผู้ที่ยังโสด จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท ส่วนคนที่มีคู่สมรส จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 60,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 120,000 บาท
สำหรับกองมรดกของผู้ตายที่ยังมิได้แบ่ง จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท ในส่วนห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล จากเดิมต้องยื่นแบบเมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท ปรับเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท
แต่การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อมนุษย์เงินเดือนมากแค่ไหนกัน? นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้อธิบายไว้ว่า การปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์กับผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางลงมา ซึ่งเมื่อคำนวณออกมาแล้ว จากเดิมคนที่มีเงินเดือน 20,000 บาทขึ้นไปจะต้องเสียภาษี แต่การปรับใหม่ครั้งนี้ คนที่มีเงินเดือน 26,000 บาทขึ้นไปจะต้องเสียภาษี จะทำให้รายรับของประชาชนเพิ่มขึ้น และจะเริ่มมีผลตั้งแต่ปีภาษี 2560 เป็นต้นไป หรือยื่นภาษีในปี 2561 ซึ่งพอคนรู้สึกว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็จะนำไปสู่การใช้จ่ายที่มากขึ้น แนวทางนี้ จึงเป็นเรื่องของการสร้างความรู้สึกว่ามีรายได้เพิ่มขึ้นก็จะจ่ายเพิ่มขึ้นด้วย
“การที่ประเมินว่า การปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้รัฐจะสูญเสียรายได้ไป 32,000 ล้านบาท เงินส่วนนี้กลับไปสู่ประชาชน เอาไปใช้จ่ายหมุนเวียน รัฐก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มาชดเชย” รมว.คลัง ระบุ

ด้าน นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวด้วยว่า การปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครั้งนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ผู้เสียภาษีส่วนใหญ่ของประเทศก็จะได้รับประโยชน์ และที่สำคัญในอนาคตกรมสรรพากรมั่นใจว่า จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากโครงการบัญชีเล่มเดียว สนับสนุนให้วิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อมที่อยู่นอกระบบภาษี หรือเคยเลี่ยงภาษีเข้ามาอยู่ในระบบและภาษีที่จะได้โครงการ e-payment ของประเทศ ซึ่งคาดว่า เงินส่วนนี้จะเข้ามาไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาท
ขณะที่ นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ และนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ให้ความเห็นว่า ผลของการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมทั้งการเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับผู้เสียภาษีนั้น ตนเห็นว่า คงมีผลช่วยกำลังซื้อหรือการจับจ่ายของประชาชนบ้างแต่ไม่มาก แต่คงมีผลด้านจิตวิทยามากกว่า เพราะไม่ได้มีผลบังคับทันที เนื่องจากเป็นการนำมาใช้สำหรับการจ่ายภาษีเงินได้ในปี 60 และการปรับลดอัตราภาษีครั้งนี้ปรับลดลงไม่มากนัก แต่ก็เข้าใจความจำเป็นของรัฐบาลที่ยังจำเป็นต้องหารายได้
“สำหรับกรณีที่ปรับภาษีครั้งนี้รัฐให้เหตุผลว่า ต้องการให้สอดคล้องหรือล้อไปกับภาษีนิติบุคคลที่ลดลงไปก่อนหน้าจากการจัดเก็บอัตรา 30% ลดเหลือ 20% นั้น การปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาควรเก็บอัตราสูงสุดที่ 28% แต่การปรับลดโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาครั้งนี้อัตราสูงสุดยังอยู่ที่ 35%”
นอกจากนี้ นายไพบูลย์ ยังให้ข้อเสนอเพิ่มว่า ควรมีการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ทางรัฐบาลไม่กล้า เพราะกลัวกระทบคนมีรายได้น้อย ซึ่งมันก็มีทางออกด้วยการทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่มมี 2 อัตรา โดยสินค้าจำเป็นอาจยังเก็บในอัตราเดิมที่ 7% แต่สินค้าฟุ่มเฟือยจัดเก็บในอัตราที่สูงกว่า เช่น 10 หรือ 12% เป็นต้น ซึ่งตนมั่นใจว่า จะไม่กระทบต่อผู้ที่มีรายได้น้อยในการซื้อสินค้าจำเป็น และหากทำเช่นนี้ได้ รัฐบาลจะสามารถลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้มากกว่านี้ แล้วยังสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครั้งนี้ จะมอบประโยชน์ให้กับแก่คนทั่วไปมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญที่ทุกท่านห้ามลืม คือ การปรับเกณฑ์ที่กล่าวมาทั้งหมด จะเริ่มบังคับใช้ในเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2560 เป็นต้นไป (ยื่นแบบภาษีในปี 2561) ซึ่งก็หวังว่า การปรับปรุงโครงสร้างภาษีครั้งนี้ จะทำให้การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีความเป็นธรรมมากขึ้น สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพในปัจจุบัน เพราะผู้ที่เสียภาษีต้องมีรายได้เดือนละ 26,000 บาทขึ้นไป จึงจะเริ่มเสียภาษีนั่นเอง.




