ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/611630
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 27 เม.ย. 2559 05:01

แบงก์รับมือเอ็นพีแอลไตรมาสแรกพุ่ง หนี้เสียระบบแบงก์ไตรมาสแรกเพิ่ม 20,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นแบงก์ไทย ด้าน “ไทยพาณิชย์” เผยเคล็ดทวงหนี้แบบแขก เก็บทีละนิดแก้ปัญหาเหนียวหนี้ ตกใจลูกค้าซอฟท์โลนโครงการรัฐ โชว์สัญญาณไม่ใช้หนี้ เผยธุรกิจกาแฟ อพาร์ตเมนต์เป็นดาวร่วง ส่วนดาวรุ่งได้แก่ รับเหมา 4 จี อีคอมเมิร์ซ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ธปท.ได้ประกาศตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)ไตรมาสแรกของปี 2559 พบว่า ยอดเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวและความสามารถการชำระหนี้ในบางภาคที่ลดลง โดยจากไตรมาสก่อนหน้าหรือสิ้นเดือน ธ.ค.ปี 2558 มียอดหนี้เอ็นพีแอลคงค้างอยู่ที่ 337,530 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 2.56% ของสินเชื่อรวม ขณะที่ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา หนี้เอ็นพีแอลคงค้างขยับไปอยู่ที่ 357,412 ล้านบาท หรือมีสัดส่วน 2.64% ของสินเชื่อรวม โดยเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นประมาณ 20,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 58,800 ล้านบาท เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน
ทั้งนี้ ระบบธนาคารพาณิชย์ไทย มีสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของหนี้เอ็นพีแอลมากกว่าระบบธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ โดยมียอดคงค้างเอ็นพีแอลทั้งสิ้น 352,895 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 2.78% ของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ไทยรวม เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าประมาณ 20,000 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นประมาณ 58,900 ล้านบาท จากระยะเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ระบบธนาคารต่างประเทศ มียอดหนี้เอ็นพีแอลอยู่ที่ 4,517 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.52% ของสินเชื่อรวม ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 124 ล้านบาท โดยขณะนี้ สินเชื่อที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) รวมถึงภาคเกษตร และเท่าที่ ธปท.ติดตามดู ในปีนี้ธนาคารพาณิชย์ยังระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีและกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
นายวิพล วรเสาหฤท รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการคุมคุณภาพหนี้เอ็นพีแอลของธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารได้ตั้งทีมดูแลคุณภาพหนี้ตั้งแต่กลาง ปี 2558 จนถึงปัจจุบันมีพนักงานรวม 40 คน เพื่อควบคุมเอ็นพีแอลไม่ให้เกิน 3% ของสินเชื่อที่ปล่อยใหม่ ทั้งนี้ หากเป็นลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดกลาง ทีมงานจะทำงานประกบอย่างใกล้ชิด ส่วนเอสเอ็มอี ขนาดย่อมจะเข้าไปหารือกับลูกค้าทันทีเมื่อมีสัญญาณ แม้การชำระหนี้ยังปกติ เพราะหากปล่อยให้ลูกค้าไม่ชำระหนี้ 1-3 รอบ ลูกค้าบางรายจะเกิดอาการเหนียวหนี้ขึ้นมา เพราะหนี้ที่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อนโตกว่าปกติ จึงต้องรีบหารือตั้งแต่ต้นๆ “เราใช้วิธีบริหารหนี้แบบแขก ซึ่งได้ผล ทยอยเก็บหนี้ทุกวัน ผู้กู้เห็นว่าเป็นเงินที่ไม่มาก ก็จะยอมจ่าย”
สำหรับในส่วนของสินเชื่อซอฟท์โลน (สินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรน) ดอกเบี้ย 4% ของรัฐบาลที่ปิดโครงการไปไม่นาน เริ่มเห็นสัญญาณลูกค้าไม่ชำระหนี้ แต่เป็นจำนวนที่ไม่มาก แต่นับว่าน่าตกใจเพราะปิดโครงการไปไม่นาน แต่เมื่อเข้าไปตรวจสอบพบว่า บางรายลืมชำระหนี้ เนื่องจากมีวันหยุดยาว แต่ลูกค้าบางรายก็ไม่สามารถชำระหนี้ได้
ทั้งนี้ธุรกิจดาวร่วงที่คาดมีปัญหาช่วงนี้ เป็นกลุ่มสินค้าเกษตรพื้นฐานที่ไม่มีการแปรรูป เช่น พืชไร่ ผลไม้ ข้าว เนื่องจากประสบปัญหาราคาตกต่ำและภัยแล้ง รวมถึงธุรกิจที่มีการแข่งกันเปิดตามแฟชั่น เช่น ร้านกาแฟ อพาร์ตเมนต์ที่เปิดจำนวนมาก ธุรกิจรับติดตั้งก๊าซรถยนต์ที่คนนิยมติดตั้งน้อย หลังราคาน้ำมันลดลง รวมถึงธุรกิจป้ายโฆษณาแบบเก่า เนื่องจากในภาวะเศรษฐกิจไม่ดีจะหันมาโฆษณาผ่านสื่อดิจิตอล และออนไลน์เพิ่ม ส่วนธุรกิจดาวรุ่ง ได้แก่ ธุรกิจรับเหมา วัสดุก่อสร้าง ที่ได้อานิสงส์จาก โครงการลงทุนจากรัฐบาล ธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าเกษตรแปรรูป ธุรกิจมือถือ 4 จี ธุรกิจท่องเที่ยว ขนส่งโลจิสติกส์ อี-คอมเมิร์ซ และธุรกิจ ที่เกี่ยวกับการเติบโตของเทคโนโลยี.