ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/611027
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 26 เม.ย. 2559 06:45

“บัณฑูร” ฟันธงเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟนตัว
“บัณฑูร” แจงเศรษฐกิจไทยกระเตื้องเล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้นฟื้นตัว เพื่อให้ทำมาค้าขายได้ ขณะที่การลดดอกเบี้ยกู้ของแบงก์ ก็ทำได้เพียงช่วยต่อลมหายใจให้กับลูกค้า “ไทยพาณิชย์” ชี้ ปีนี้โตแค่ 2.5% เพราะเผชิญกับสารพัดปัจจัยเสี่ยง ผวาเกิดภาวะช็อกรายได้หดหาย จะกระทบความสามารถในการชำระหนี้
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทย ขณะนี้เป็นการกระเตื้องขึ้นแค่ขั้นหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงขั้นว่าฟื้นตัวแล้ว เพราะหากจะให้ฟื้นตัวจริง ต้องหมายถึงว่าสามารถทำมาค้าขาย ทำสินค้าออกไปขายได้ ส่วนการลดดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ ก็ยังไม่แรงพอจะเข้ามาช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้ เป็นแค่เพียงการช่วยต่อลมหายใจให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว ให้มีต้นทุนลดลง มีเงินมีสภาพคล่อง ซึ่งการลดดอกเบี้ยไม่ได้เป็นปัจจัยทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้จริง เนื่องจากมีการพิสูจน์มาแล้วจากหลายๆประเทศ ว่าถึงลดดอกเบี้ยต่ำ แต่เศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้นอยู่ดี
สำหรับการส่งออกที่มียอดกระเตื้องขึ้นใน 2 เดือน ถือเป็นจังหวะ ในบางเดือน เพราะการส่งออกจะไม่ตกลงทุกเดือน แต่ก็ยังไม่ได้ดีจนถึงขั้นฟื้นตัว จนเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้โตได้ ปัจจุบันการส่งออก ก็มีกฎกติกา ไม่ใช่ดูแต่คุณภาพสินค้าอย่างเดียว เช่น การแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย (ไอยูยู) ที่ถือเป็นเรื่องใหญ่หากเกิดปัญหาโดนใบแดงขึ้นมา ก็จะกระทบมาก เพราะคนไทยมีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการประมงจำนวนมาก
“ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่เพิ่มขึ้น เป็นไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจ พอถึงช่วงที่เศรษฐกิจแย่ คนที่มีความสามารถชำระหนี้ต่ำก็มีโอกาสจ่ายได้น้อยและเป็นหนี้เสียเพิ่ม ขณะที่ปัญหาการเมือง ที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจมองว่า แม้การเมืองไม่ได้บั่นทอนต่อเศรษฐกิจโดยตรง เว้นแต่หากคนไทยทะเลาะกัน ด้วยเหตุการเมืองจนไม่สามารถทำมา หากินได้ ก็จะกระทบไปทั้งระบบ”
นางสุทธาภา อมรวิวัฒน์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรืออีไอซี กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะเติบโต 2.5% เพราะเผชิญกับอุปสรรคด้านการส่งออก ที่มีโอกาสที่จะหดตัวต่อเนื่องจากปีที่แล้วอีก 2.1% โดยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดไว้เดิม จึงต้องจับตาการลงทุนของภาครัฐในครึ่งปีหลัง และนโยบายการคลัง โดยเฉพาะการเร่งเบิกจ่ายในโครงการลงทุนขนาด เล็ก และมาตรการสนับสนุนทางการเงินในภูมิภาค ที่มีบทบาทอย่างมาก ในการช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา และต่อไปต้องจับตาดูการดำเนินการของโครงการลงทุนขนาดใหญ่
สำหรับการใช้จ่ายภาคครัวเรือนมีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่อง จึงคาดว่า การบริโภคภาคเอกชนจะโตเพียง 1.9% ของรายได้ และภาคครัวเรือนยังได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จากภัยแล้ง จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้การบริโภคในประเทศฟื้นตัวได้ยาก ขณะที่การจ้างงาน เริ่มมีการลดการทำงานล่วงเวลา (โอที) ทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม บริการ ทำให้รายได้น้อยลง บวกกับสินทรัพย์ภาคครัวเรือนของไทยมีไม่ถึง 10% ที่เป็นสินทรัพย์ผันแปรเป็นเงินสดได้ ดังนั้น หากเกิดภาวะช็อกของรายได้ จะกระทบความสามารถในการชำระหนี้ทันที
“แรงกดดันต่อเศรษฐกิจ จากการที่เศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเวลานานมีเพิ่มมากขึ้น การใช้จ่ายของครัวเรือนยังซบเซา ถึงแม้ตัวเลขการ ว่างงานโดยรวมไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ชั่วโมงการทำงานของแรงงานในหลายภาคส่วนเริ่มลดลงและรายได้ภาคครัวเรือนยังได้รับผลกระทบจากรายได้ภาคเกษตรที่ตกต่ำ รวมทั้งปัญหาภัยแล้งที่กระทบกับปริมาณผลผลิตอีไอซีเห็นว่าความเสี่ยงด้านรายได้ เป็นปัจจัยสำคัญ ทำให้การบริโภคในประเทศฟื้นตัวได้ยาก”.