ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160504/226998.html
คำตอบที่‘เงียบงัน’ : ขยายปมร้อน โดยสำนักข่าวเนชั่่น โดย อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ
วันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมานั้น เป็นวัน “เสรีภาพสื่อมวลชนโลก” โดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติประกาศให้มีวันดังกล่าวเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของเสรีภาพสื่อ และย้ำเตือนรัฐบาลถึงหน้าที่เคารพและสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
สื่อมวลชนกลุ่มหนึ่งในไทยก็นับเอาโอกาสนี้ในการจัดอีเวนท์เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจัดงานเสวนา ทำเสื้อ ออกแถลงการณ์ พร้อมคิดคำขวัญ “ถูกต้อง รอบด้าน หลักประกันเสรีภาพ” และที่สำคัญเริ่มงานด้วยการไปพบนายกรัฐมนตรีเพื่อมอบเสื้อและยื่นหนังสือ
ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันว่า การนำเสนอข่าวที่ถูกต้อง ครบถ้วน และรอบด้านนั้น มิอาจได้มาแบบลอยๆ หากแต่ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าเสรีภาพคอยหนุนหลังอยู่ การทำข่าวที่มีคุณภาพและมีความเป็นกลางนั้น จำเป็นต้องได้ข้อมูลอย่างครบถ้วน
ลองสมมุติสถานการณ์กันดู เราจะนำเสนอข่าวเรื่องการออกกฎหมายหนึ่งฉบับ ซึ่งมีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก แต่มีผู้มาบอกว่าให้ทำได้เฉพาะผลดีที่จะมาจากกฎหมายฉบับนี้ ส่วนอะไรที่เป็นผลร้ายหรือผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ละเว้นเสีย อย่างนี้จะเรียกว่าข่าวที่ “ถูกต้อง รอบด้าน” ได้หรือไม่ เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็เป็นเพียงข่าวที่มีข้อมูลด้านเดียวเท่านั้น ไม่มีความครบถ้วนและเสริมสร้างความรับรู้อันเป็นประโยชน์ให้แก่สังคมแต่อย่างใด
การเข้าถึงข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ก็จำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” ของสื่อมวลชน เพราะหากไม่มีเสรีภาพแล้วการเข้าถึงข้อมูลจะมิอาจทำได้เลย ที่ผ่านมานั้นบ้านเราสู้กันถึงขนาดที่สามารถผลักดัน พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ
แต่เมื่อปราศจากเสรีภาพการเข้าถึงข้อมูลก็มิอาจทำได้เช่นกัน ลองนึกถึงเหตุการณ์สมมุติอีกเหตุการณ์หนึ่ง หากจะนำเสนอเรื่องการทุจริตในหน่วยงานหนึ่ง แต่กลับไม่มีเสรีภาพในการเข้าถึง ถูกปิดกั้นทุกวิถีทาง อย่างนี้จะนำเสนอข่าวออกมาได้อย่างไร
และที่สำคัญที่สุดคือ เสรีภาพในการนำเสนอ จะมีค่าอันใดหากทำข่าวที่ทั้งถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน แต่ไม่อาจนำเสนอได้ เพราะถูกปิดปากไว้ ไม่ว่าจะเป็นด้วยอำนาจรัฐ อำนาจเงิน หรืออำนาจอันไม่ชอบธรรมใดๆ
แต่ในวันเช่นนี้เอง สื่อมวลชนบางกลุ่มกลับเลือกที่จะชูคำขวัญในลักษณะกลับหัวกลับหาง โดยอ้างว่าต้องทำให้ถูกต้องครบถ้วนก่อน จึงจะถือเป็นหลักประกันเสรีภาพได้ ด้วยวิธีคิดเช่นนี้เอง เป็นการสยบยอมต่อการกระทำอันที่จะเข้าควบคุมและจำกัดเสรีภาพสื่อ
เพราะการทำเช่นนี้เท่ากับยอมรับว่า “สมควรแล้ว” ที่เสรีภาพจะถูกจำกัดโดยอำนาจไม่ว่าอันใดก็ตาม
ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงเสรีภาพของสื่อนั้น จะควรจะถูกตรวจสอบจากเพียงกฎหมายปกติ เช่น กฎหมายหมิ่นประมาท และอำนาจที่ควรจะตรวจสอบการใช้เสรีภาพมากที่สุดคือ การไม่ยอมรับ ไม่เชื่อถือ ไม่บริโภคของประชาชนนั่นเอง
มิพักต้องพูดถึงแถลงการณ์ ที่ออกมาคล้ายกับเตือนให้ระมัดระวังเรื่องการใช้เสรีภาพทั้งของสื่อและบุคคลทั่วไป ซึ่งไม่น่าใช่ท่าทีของการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพพื้นฐานแต่อย่างใด
และท่าทีที่สมยอมต่ออำนาจในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา จึงทำให้สื่อมวลชนเองยิ่งถอยห่างจากคำว่าเสรีภาพออกไปทุกขณะ
การเข้าหาและเรียกร้องวิงวอนต่ออำนาจรัฐ ก็พิสูจน์ทราบได้อย่างที่เห็นเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เมื่อทางสมาคมวิชาชีพเข้าไปพบนายกฯ เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่เกี่ยวข้องกับสื่อ อาทิ คำสั่ง คสช.ที่ 97/2557 และ 103/2557 สิ่งที่ตอบรับมาก็ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร
เมื่อนายกรัฐมนตรีตอบกลับมาว่า “เสรีภาพเท่าที่มีอยู่ยังไม่พออีกหรือ” แถมด้วยคำที่บอกว่า “ถ้ายกเลิกบางข้อก็ต้องเพิ่มในบางข้อ” และปฏิเสธการรับหนังสือ โดยทีมงานนายกฯ ระบุว่า เกรงจะเป็นตัวอย่างในการยื่นเอกสารถึงนายกฯ
คำตอบเช่นนี้ก็คงพอให้เห็นว่าการอ้อนวอนนั้นผู้ถืออำนาจจะตอบสนองอย่างไร
ซ้ำเมื่อผู้สื่อข่าวอาวุโสประจำทำเนียบรัฐบาลอย่าง “เจ๊ยุ” หรือ “ยุวดี ธัญญศิริ” พูดขึ้นมาว่า “เสรีภาพสื่อคือเสรีภาพประชาชน” นายกฯ ก็หันกลับมาถามทันทีว่า “ใครพูด” เมื่อผู้พูดตอบว่าเป็นใคร นายกฯ ก็ตอบกลับว่า “ระวังตัวด้วย”
เสียงเรียกร้องเพื่อ “เสรีภาพ” ในวัน “เสรีภาพสื่อโลก” จึงมีคำตอบคือความเงียบงันทั้งจากอำนาจรัฐ และจากองค์กรสื่อด้วยกันเอง
