ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20151128/217614.html
การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2558
พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างใหม่ส่งผล’ราคายาแพงขึ้น’ : สัมภาษณ์พิเศษ นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม
หน้าที่ขององค์การเภสัชกรรม คือผลิตและจัดหายาที่มีคุณภาพ ราคาถูก มีผลิตภัณฑ์เกือบ 300 ชนิด และยาส่วนใหญ่ขององค์การเภสัชกรรม ไม่ได้วางขายตามร้านขายทั่วไป แต่จะใช้วิธีการกระจายไปถึงมือประชาชน โดยผ่านทางระบบบริการสาธารณสุขของรัฐ ผ่านโรงพยาบาลของรัฐ ผ่านสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปัจจุบันเน้นการจัดหายาเวชภัณฑ์ประเภทช่วยชีวิตสำหรับผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังแบบไม่ติดต่อ อย่างโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดัน และโรคเอดส์ ที่ผู้ป่วยรับจากโรงพยาบาลของรัฐโดยตรง
ในปี 2558 จากตลาดยาทั่วประเทศของไทยมีมูลค่ารวมสูงถึง 145,000 ล้านบาท แต่ยาที่ผลิตและดำเนินการโดยองค์การเภสัชกรรม มียอดจำหน่ายรวมเพียง 12,772 ล้านบาท ยังเป็นสัดส่วนไม่มากนักแต่ก็เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 1,295 ล้านบาท นำเงินรายได้ส่งเข้ารัฐปีละ 500 ล้านบาท สามารถทำให้ภาครัฐประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านยาได้ เป็นจำนวนเงินถึง 5,343 ล้านบาท คิดเป็น 64.23% ของงบประมาณที่ต้องจ่าย โดยแบ่งเป็นประหยัดจากยาที่องค์การ ผลิตเองจำนวนเงิน 3,692 ล้านบาท และจากการจัดหาจากผู้ผลิตรายอื่นจำนวนเงิน 1,651 ประหยัดได้เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ถึงจำนวนเงิน 1,965 ล้านบาท (ปี 2557 ประหยัดได้จำนวนเงิน 3,378 ล้านบาท)
สำหรับปี 2559 ตั้งเป้ายอดขายทุกผลิตภัณฑ์ไว้ที่ 13,500 ล้านบาท พร้อมกับวางแผนการขยายตลาดอาเซียน อาทิ ขยายตลาดใหม่ โดยสรรหาตัวแทนจำหน่ายรายใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อขึ้นทะเบียนยา และทำการตลาดในประเทศ
เป้าหมายขยายตลาดกลุ่มยาที่มีศักยภาพและมีคู่แข่งน้อยราย เช่น จีพีโอ แอลวัน โอเซลทามิเวียร์ ในต่างประเทศ เช่น ผ่านตัวแทนจำหน่าย ผ่านองค์กร เอ็นจีโอ ผ่านความร่วมมือแบบรัฐบาลกับรัฐบาล จะเพิ่มยอดจำหน่ายยาไปยังกลุ่มประเทศเออีซี ประกอบด้วย สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมาร์ มาเลเซีย ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ต่อปี ปัจจุบันองค์การจะมีการสำรองยาและเวชภัณฑ์ในระบบ เฉลี่ยรายการละ 3-4 เดือน โดยมุ่งเน้นยาที่มีมูลค่าการใช้สูง ยาจำเป็น ยาเชิงนโยบาย เช่น ยาต้านไวรัสเอดส์ ยารักษาโรคหัวใจหลอดเลือด น้ำเกลือ และน้ำยาล้างไตสำหรับผู้ป่วยไตวาย วัคซีนป้องกันโรค ยาสำหรับหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะยาต้านไวรัสเอดส์ องค์การมีการดูแลอย่างใกล้ชิด
ในปี 2558 องค์การมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ผลิตได้ 5 ชนิด ได้แก่ ยาต้านไวรัสเอดส์ Efavirenz ขนาด 50 และ 200 mg ยารักษาจิตเวช Fluoxetine 20 mg ชนิดเม็ดละลายน้ำ (Dispersible tablet) ยาเม็ดรักษาอาการศีรษะล้าน GPO-Finax-1 ขนาด 1 mg ยาเม็ดรักษาผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโตผิดปกติ GPO-Finax-5ขนาด 5 mg และผลิตภัณฑ์สมุนไพรบำรุงความจำ “พรมมิ”
ด้านการผลิตสมุนไพรไทยนั้น บริษัทผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย จำกัด เป็นผู้ผลิตสมุนไพรใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบยาแผนปัจจุบัน จนทำให้เกิดการผลักดันการใช้ยาจากสมุนไพรเป็นไปอย่างกว้างขว้างและได้รับการรับรองหลักเกณฑ์มาตรฐาน วิธีการที่ดีในการผลิตยา (จีเอ็มพี) ขณะนี้มีผลิตภัณฑ์ยาจากสมุนไพรโดยในปี 2558 มีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นคือ ยาเม็ดจันทน์ลีลา ใช้แก้ไข้ตัวร้อน สามารถใช้เป็นยาทางเลือกแทนยาพาราเซตามอลได้ และได้ขึ้นเป็นบัญชียาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว จำนวน 22 รายการ พร้อมกันนั้นได้ออกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรน์ไฟโตโกลด์สำหรับประชาชนผู้รักสุขภาพ ยังมียาแก้ไข้ แก้ปวด ปีหน้าจะขยายการผลิตและให้ประชาชนใช้สะดวก เช่น ขมิ้นชัน เป็นสารสกัดเป็นเนื้อยา ไม่ใช่สมุนไพรอีกต่อไป เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงร่างกาย แอนตีออกซิเดน “ปีนี้ผมสนับสนุนให้ใช้สมุนไพรคือ พรมมิ เป็นสมุนไพรใช้ในอินเดียกว่า 100 ปี เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น โดยไม่เพิ่มความดัน ป้องกันอัลไซเมอร์ มีผลงานวิจัยบางส่วนและกำลังทำวิจัยเข้มข้นให้ชัดเจน ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผ่านการศึกษาทางคลินิกเพิ่มเติมในกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดี อายุ 55 ปีขึ้นไป จํานวน 60 คน ที่คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น โดยแบ่งให้อาสาสมัคร 30 คน กินยาจริง และอาสาสมัครอีก 30 คน กินยาหลอก โดยให้กิน 300 มก. (1 เม็ด) และ 600 มก. (2 เม็ด) ต่อวัน ปรากฏว่า กลุ่มอาสาสมัครที่กินยาจริงมีความจํา มีการทรงตัวที่ดี มีความจําและสมาธิ รวมทั้งการตอบสนองต่อสิ่งเร้าดีกว่ากลุ่มอาสาสมัครที่กินยาหลอก โดยเห็นผลหลังจากกินยาติดต่อกัน 2 เดือนขึ้นไป นอกจากนี้ยังไม่พบผลข้างเคียงใดๆ ที่ต่างจากยาหลอกโดยในระยะต่อไป คณะผู้วิจัยจะศึกษาเพิ่มเติมในผู้ป่วยที่มีความจําบกพร่อง โดยขณะนี้เริ่มดําเนินการไปบ้างแล้ว”
สมุนไพร “พรมมิ” จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพสมองและบํารุงความจําที่น่าสนใจ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ไม่มีผลข้างเคียง อีกทั้งยังช่วยบํารุงสุขภาพโดยรวมได้ดีอีกด้วย
องค์การเภสัชกรรมได้นํามาต่อยอดพัฒนา ทั้งในกระบวนผลิตเพื่อให้เป็นระดับอุตสาหกรรมแบบครบวงจรจนได้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสารสกัดสมุนไพร “พรมมิ สมุนไพรบํารุงความจําในรูปแบบเม็ด ช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง บํารุงสมองและความจํา ผลิตภัณฑ์อีกชนิดที่วางตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมก็คือ ยาปลูกผม แก้หัวล้าน เป็นยาที่ใช้รักษาโรคต่อมลูกหมากโต ใช้น้อยๆ มีผลข้างเคียงให้ผมงอกมากขึ้นได้ กำหนดให้มีการพัฒนาเป็นชนิดพ่น เพื่อจะลดอันตรายผลข้างเคียง ถ้ามีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เด่นๆ ยาชนิดใหม่ๆ โรคใหม่ ที่ปกติแล้วเมื่อมีการค้นพบยาชนิดใหม่ รักษาโรคอุบัติใหม่ๆ นั้น บริษัทยาต่างประเทศได้รับสิทธิ์ในการคุ้มครองผลงานวิจัย และผลิตได้นาน 10 ปี ทำให้ยาที่ส่งมาจำหน่ายในประเทศมีราคาสูง ดังนั้นเมื่อสิทธิคุ้มครองถึงปีที่ 5 ทางองค์การเภสัชกรรมจะส่งเสริมให้มีการทำการวิจัยทดลองภายในประเทศ จนหมดอายุการคุ้มครองก็สามารถผลิตยาได้ในราคาที่ถูกกว่ายาที่สั่งซื้อจากต่างประเทศถึง 50 เท่า และทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถเข้าถึงยาได้ทั่วถึง จนหมดอายุคุ้มครองจึงผลิต จึงทำให้มีราคาลดลงกว่า 50 เท่า อย่างกรณีโรคเอดส์ ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าผู้ป่วยเข้าถึงยาทั่วถึงมากที่สุด ราคายาถูกกว่าต้นทุน ทำให้เข้าถึงยาได้มากขึ้น
ยาที่สำคัญและมีความต้องการใช้สูงคือรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อย่างโรคมะเร็ง เบาหวาน ความดัน หัวใจ ที่เพิ่มขึ้นในสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งประเทศไทยจะมีมากถึง 12% ของพลเมือง ถือว่าอัตราสูง เสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อ การมียารักษาโรคที่เพียงพอ
สิ่งที่กำลังเป็นที่น่าวิตกสำหรับบทบาทขององค์การเภสัชกรรมที่จะ “จัดเตรียมยา” ให้ผู้ป่วยให้เพียงพอ ในราคาที่ถูก ในคุณภาพที่ดี ราคาเป็นธรรม หรือการจัดหายาในกรณีฉุกเฉินให้เพียงพอ หรือการพยายามมีบทบาทในการ “ต่อรอง” ราคาให้เป็นธรรม อย่างกรณียาลดไขมันในเลือด องค์การผลิตให้ราคาลดลงเหลือเพียง 5 บาท จากที่เคยจำหน่ายสูงถึง 35 บาท กำลังถูก “จำกัดบทบาท” ลง เมื่อ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐฉบับใหม่ไม่ได้ระบุบทบังคับที่เคยมีไว้ โดยอ้างว่าเป็นการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับ “ตลาดเสรี”
กรมบัญชีกลางได้เสนอร่าง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฉบับใหม่ไม่มีการกำหนด กฎระเบียบข้อ 60-62-63-64 ที่กำหนดระบุไว้ว่าโรงพยาบาลของรัฐต้องซื้อผลิตภัณฑ์ยาขององค์การเภสัชกรรม ถ้ามีผลิตหรือมีจำหน่ายต้องซื้อ 80% แม้ว่าองค์การเภสัชกรรมไม่เคยใช้บทนี้บังคับ แต่การ “ไม่มีดาบ” ไว้นี้จะมีผลกระทบต่อการเข้าถึงยาของประชาชนโดยรวม เพราะว่าเมื่อไม่มีระเบียบเรื่องนี้ บทบาทขององค์การเภสัชกรรมที่จะต่อรองราคาก็หมดไป ราคายาจะแพงขึ้นทันที
การมีระเบียบข้อนี้ มีข้อดี ทำให้องค์การเภสัชกรรมสามารถ “ปราม” และทำให้มีตลาดแน่นอนให้สามารถดำรงสายการผลิตยาไว้ได้ การไม่มีอำนาจต่อเรื่องของระบบยาในประเทศนั้น เป็นวัตถุประสงค์และความต้องการของบริษัทยาต่างประเทศที่ส่งยาเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ที่ต้องการกำหนดราคายาได้ตามที่ต้องการ เพราะเป็นสิ่งจำเป็น หรือหาก “ล้ม” การผลิตยาขององค์การเภสัชกรรมก็จะทำให้มีการกำหนดราคาได้อย่างที่ต้องการ
ตัวอย่างของราคาที่ต้องลดลงในภาวะฉุกเฉิน อย่างกรณีน้ำท่วมใหญ่ 2554 น้ำเกลือที่ใช้ ช่วงภาวะน้ำท่วมเพิ่มขึ้น 50% ทันที และยา “Sidenafil” ก่อนองค์การเภสัชกรรมจะผลิตขายเพื่อลดปัญหายาปลอมในท้องตลาด ราคาสูงถึง 1,400 บาท ทันทีที่องค์การผลิตได้วางตลาด ลดไป 600 บาททันที หรือกรณีการผลิตแอลกอฮอล์ สามารถลดลงไปได้ทันที 150 บาท จากราคาที่เอกชนนำเข้าจากต่างประเทศที่ขาย 200-260 บาท การยกเลิกกฎกติกานี้จะทำให้เกิดผลกระทบต่อองค์การเภสัชกรรม และการต่อรองราคาที่มีโอกาสทำให้ “ยาแพง” มากขึ้น
อีกไม่นานโรงพยาบาลของรัฐจะเปิดการประมูลซื้อยาขึ้น และบริษัทที่ประมูลได้ก็จะทำให้มีบริษัทผลิตและจำหน่ายยาได้ไม่กี่บริษัทในอนาคต หรือไม่ก็มีผู้ผลิตน้อยราย และบริษัทชั้นนำในโลก ด้านยาและสุขภาพก็จะครองตลาด นี่คืออันตรายในกรณีที่เกิดกรณีฉุกเฉินหรือโรคระบาด อย่างน้ำเกลือที่ผู้ป่วยใช้ล้างไต ต้องสำรอง และหยุดส่งไม่ได้ หากไม่ส่ง หรือขาดแคลนไปเพียง 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยก็จะเสียชีวิต วงจร กระบวนการการซื้อวัตถุดิบ หากขาดแคลนผู้ผลิตก็ต้องเลิกผลิต หรือวัตถุดิบมีปัญหา หรือบกพร่อง ก็ต้องส่งคืนหมด แปลว่าต้องหาแหล่งวัตถุดิบการผลิตใหม่ กว่าจะรับรองก็ต้องใช้เวลาอีก 6 เดือน
จึงมีความเห็นว่าน่าจะมีการทบทวนพิจารณาให้รอบคอบอีกครั้งใน พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้าง ในส่วนที่เกี่ยวกับ “ระบบยา” ประเทศ ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน อุบัติภัยจะประสบปัญหาอย่างมากในการจัดหาให้เพียงพอและรวดเร็ว รวมถึง “ราคาที่แพง” ที่ต้องเผชิญอย่างแน่นอน
สำหรับโรงงานแห่งใหม่ขององค์การเภสัชกรรมที่รังสิต จ.ปทุมธานี มีกำลังการผลิตยาเม็ดและยาแคปซูลสูงถึง 2,500 ล้านเม็ดต่อปี เพิ่มขึ้นกว่า 50% ของโรงงานเดิมที่ถนนพระราม 6 โดยผลิตยาในกลุ่มยาที่มีมูลค่าการใช้สูง ยาที่มีความจำเป็นต่อระบบสาธารณสุขไทย เช่น ยาเบาหวาน ยาความดัน ยาต้านไวรัสเอดส์ และเริ่มผลิตแล้วประกอบด้วย ยาปฏิชีวนะ Azithromycin Capsule 250 mg ยารักษาอาการปลายประสาทอักเสบ Gabapentin Capsule 300 mg ยาต้านไวรัสเอดส์ Efavirenz Tablet 600 mg ยารักษากรดไหลย้อน Omeprazole Capsule 20 mg ยาลดความดันโลหิต Amlodipine Tablet 10 mg เป็นต้น และจะทยอยเปิดสายการผลิตยาให้ครบทุกรายการในเร็วๆ นี้
ส่วนโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนก ตามมาตรฐาน WHO GMP ที่ จ.สระบุรี นั้น จะมีกำลังการผลิตได้เริ่มต้นปีละ 2 ล้านโด๊ส และขยายได้สูงสุดถึง 10 ล้านโด๊ส ทั้งนี้ในกรณีเกิดการระบาดใหญ่จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ 60 ล้านโด๊ส
พร้อมๆ กับการเป็นเสาหลักความมั่นคงด้านยาของประเทศ องค์การเภสัชกรรม มุ่งหวังให้คนไทยเข้าถึงยาที่ดีมีคุณภาพและเพียงพอ
