คุมวิจารณ์รธน. แผลเป็นประชามติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

04 พฤษภาคม 2559 เวลา 10:08 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/politic/430016

คุมวิจารณ์รธน. แผลเป็นประชามติ

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

บรรยากาศทางการเมืองกำลังเดินหน้าเข้าสู่ความขัดแย้งอีกครั้ง ภายหลังเข้าสู่กระบวนการรณรงค์ประชามติร่างรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ

นับตั้งแต่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าผู้นำในทางการเมืองหลายคนออกมาเคลื่อนไหวสอดรับพอสมควร

ไม่ว่าจะเป็นท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ระบุว่า “ไม่ต้องมาตีความกฎหมาย ที่ผ่านมาทะเลาะกันเพราะตีความรัฐธรรมนูญ ตีกันอยู่นั่น อันนี้เดี๋ยวก็ตีกันอีก ตีความรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แล้วก็ตีความรัฐธรรมนูญเข้าข้างตัวเอง ที่ผ่านมาตีความกันได้มาก เพราะไม่มีกฎหมายลูก แต่วันนี้รัฐธรรมนูญจะมีกฎหมายลูกตามมาทั้งหมด ถ้าเป็นคนดีจะกลัวอะไร กลัวตำรวจจับเหรอ คุณกลัวไหม ถ้าคุณไม่ทำความผิดก็ไม่ต้องกลัว”

เช่นเดียวกับ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งออกมาให้ความเห็นประหนึ่งเป็นการประกาศว่าจะเอาจริงกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบระหว่างการทำประชามติอย่างเด็ดขาด

“ไม่เข้าใจเหตุใดถึงมีคนออกมาคัดค้านการทำประชามติ ทั้งที่การทำประชามติเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นประชาธิปไตย หากยังก่อกวนแบบนี้ประเทศก็จะวุ่นวาย ซึ่งจะไม่ปล่อยไว้แน่นอน อย่างไรก็ตามคนพวกนี้มีเพียงไม่กี่กลุ่ม มิหนำซ้ำยังเป็นคนหน้าเดิมๆ ก็ไม่เป็นไร จะขอดูแลพวกนี้เอง ถ้ากวนได้ก็กวนไป ถ้าออกมากวนเราก็จับไป แล้วดูเอาจากนี้จะไม่มีการปรับทัศนคติอีกแล้ว เพราะปรับไปก็พูดกันไม่รู้เรื่อง”ผบ.ทบ.ระบุ

มองในมุมของ คสช. การออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวส่วนหนึ่งต้องการไม่ให้กลุ่มต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญเคลื่อนไหวและอาศัยการแสดงความคิดเห็นร่างรัฐธรรมนูญบานปลายมาเป็นการวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ซึ่งเป็นคนละส่วนกับการร่างรัฐธรรมนูญ

ขณะที่อีกมุมหนึ่ง คสช.กำลังถูกเพ่งเล็งว่าการใช้มาตรการทางกฎหมายที่แข็งกร้าวนี้นำมาซึ่งการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกินความจำเป็น

ในช่วงที่ผ่านมาฝ่ายความมั่นคงไม่ได้ใช้มาตรการตามกฎหมายประชามติดำเนินการกับกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ แต่กลับใช้บทบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญาและ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาดำเนินการด้วย

ดังจะเห็นได้จากกรณีการจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 8 คน ที่ใช้เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ว่าด้วยการกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ดังกล่าว

การดำเนินการที่ค่อนข้างเข้มงวดของฝ่ายความมั่นคง ย่อมไม่ต่างอะไรกับการสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่ไม่เอื้อให้เกิดการประชามติตามครรลองที่ควรจะเป็นมากเท่าไหร่นัก

กล่าวคือ ฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายไม่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ ควรได้รับโอกาสในการแสดงออกถึงจุดยืนและนำเสนอข้อมูลทางวิชาการในระดับที่เท่าๆ กัน โดยไม่ต้องหวาดระแวงกับการตีความกฎหมายของฝ่ายความมั่นคงที่เน้นหนักไปที่การบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้ความสงบสุขมากที่สุด

มาตรการที่ กกต.หรือ คสช.กำลังทำระหว่างการประชามติร่างรัฐธรรมนูญอยู่นี้ อาจบอกได้ว่าสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเสียเอง

พลิกดูรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 จะพบว่ามีบทบัญญัติที่ให้การคุ้มครองและรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเอาไว้อยู่

โดยมาตรา 4 ระบุว่า “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้”

ดังนั้น ยิ่งการดำเนินการของฝ่ายความมั่นคงที่ควบคุมการให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้น้อยเท่าไหร่ ยิ่งเป็นการกระทำที่เข้าใกล้ต่อการขัดกับรัฐธรรมนูญมากขึ้นเท่านั้น

แม้ตามบทบัญญัติของกฎหมายจะไม่ได้เปิดช่องให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสามารถยื่นเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ว่าการกระทำลักษณะดังกล่าวขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ระยะยาวจะเป็นปัญหาที่โยงไปถึงความสง่างามของร่างรัฐธรรมนูญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เหนืออื่นใด การลงทุน 3,000 ล้านบาท เพื่อจัดการออกเสียงประชามติ แทนที่จะเป็นจุดกำเนิดการสร้างพื้นที่ทางการเมือง เพื่อนำไปสู่กระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมตามระบอบประชาธิปไตย แต่จะเป็นการสร้างแผลใหม่ให้เกิดขึ้นกับการเมืองในอนาคต

 

Leave a comment