ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/587242
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 มี.ค. 2559 05:01

ที่ดินทำกิน…
ปมปัญหาขัดแย้งจากความไม่ลงตัวจนก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้านที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยมายาวนาน ด้วยเหตุผลต่างๆ ทั้งความมั่นคง และการอนุรักษ์พื้นที่ป่า เป็นต้น
จากข้อมูลเบื้องต้น พื้นที่ประเทศไทยที่มีอยู่ร้อยละ 40 หรือประมาณ 130 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิที่ดินอยู่แล้ว แต่พื้นที่อีกร้อยละ 60 หรือประมาณ 190 ล้านไร่ เป็นที่ดินของส่วนราชการต่างๆ และพื้นที่เหล่านี้นี่แหละที่มักมีปัญหาเป็นกรณีขัดแย้งเรื่องแย่งที่ดินทำกิน มีคดีพิพาทฟ้องร้องขับไล่ให้คนออกจากป่า ออกจากพื้นที่
ในพื้นที่ 190 ไร่ ที่หน่วยงานราชการดูแลอยู่นี้ แบ่งเป็นพื้นที่ สปก. สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ประมาณ 35 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งรวมพื้นที่อุทยานแห่งชาติอยู่ในนี้ด้วยประมาณ 145 ล้านไร่ ดูแลโดยกรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และที่เหลืออีกประมาณ 10 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ราชพัสดุ ดูแลโดยกรมธนารักษ์ โดยที่ผ่านมาพื้นที่ป่าสงวนฯ และป่าอุทยาน จำนวนไม่น้อยเกิดปัญหาการบุกรุกผืนป่าจากนายทุน ผู้มีอิทธิพลรวมทั้งคนจนที่ไม่มีที่ดินทำกิน
ผลการสำรวจของกรมป่าไม้พบว่า ปี 2557 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีผืนป่าเหลือเพียง 102,285,400 ไร่ หรือร้อยละ 31.62 ของพื้นที่ประเทศไทยเท่านั้น
“ตัวเลขการลดลงของป่าไม้สะท้อนให้เห็นถึงความหนักหน่วงของสถานการณ์ป่าไม้ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รู้สึกกังวล จึงได้กำหนดให้เป็นนโยบายหลักของรัฐบาลที่จะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยมีการประกาศมาตรการทวงคืนผืนป่าเข้าไปบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดกับกลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพลที่บุกรุกป่า ซึ่งจากผลการดำเนินงานอย่างเข้มข้นตลอดปี 2558 ที่ผ่านมา สามารถนำผืนป่าที่ถูกบุกรุกกลับคืนมาได้ถึงประมาณ 300,000 ไร่ มีการดำเนินคดีกับผู้บุกรุกป่าไปแล้วกว่า 13,000 คดี” พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรฯ สะท้อนให้เห็นภาพของการปฏิบัติการ
“แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น” รมว.ทรัพยากรฯกล่าวสำทับพร้อมย้ำว่า แม้ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ แต่โดยข้อเท็จจริงของปัญหาป่าไม้ ไม่ได้มีเพียงบริบทของการบุกรุกทำลายเพื่อหาผลประโยชน์ของกลุ่มนายทุน ผู้มีอิทธิพล หรือประชาชนเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงปัญหาอื่นๆ เช่น สิทธิที่ทำกิน การจัดการพื้นที่ป่า และการจัดการพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยมาตรการอื่นเข้ามาเสริม จึงจะสามารถหยุดยั้งการบุกรุกผืนป่าและเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ได้อย่างยั่งยืน
และนั่นจึงนำมาซึ่งแผนการต่อยอดการทำงานของกระทรวงทรัพยากรฯ ต่อจากมาตรการทวงคืนผืนป่าไปสู่การดำเนินโครงการ “พลิกฟื้นผืนป่า สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ภายใต้ 5 มาตรการหลัก คือ
1.การสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนและภาคส่วนต่างๆในพื้นที่ให้เกิดการมีส่วนร่วม โดยอาศัยแนวทาง “ประชารัฐ” ที่ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชนจะต้องเดินไปด้วยกัน
2.การแก้ไขปัญหาแนวเขตพื้นที่ทับซ้อนต่างๆ โดยใช้แผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One map)
3.การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังต่อผู้มีอิทธิพล แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
4.การผ่อนผันกับชุมชนและประชาชนผู้ยากไร้ โดยจัดหาที่ดินทำกินรวม 340,413 ไร่ ให้กับชุมชนรอบพื้นที่ป่า 82 พื้นที่ 47 จังหวัด โดยขณะนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดกำลังดำเนินการอยู่ ทั้งนี้แบ่งเป็นภาคเหนือ 24 พื้นที่ 13 จังหวัด เนื้อที่ 129,600 ไร่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 25 พื้นที่ 15 จังหวัด เนื้อที่ 90,929 ไร่ ภาคกลาง 19 พื้นที่ 11 จังหวัด เนื้อที่ 64,494 ไร่ และภาคใต้ 14 พื้นที่ 8 จังหวัด เนื้อที่ 55,390 ไร่ ประกอบด้วย ป่าสงวนแห่งชาติ 70 พื้นที่ใน 45 จังหวัด สปก.5 พื้นที่ใน 6 จังหวัด ป่าชายเลน 1 พื้นที่ ที่ราชพัสดุ 2 พื้นที่ และที่สาธารณประโยชน์ 4 พื้นที่ใน 4 จังหวัด รวม 47 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ กาญจนบุรี กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น ชัยนาท จันทบุรี ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด ตาก นครพนม นครราชสีมา นครศรีธรรม-ราช นครสวรรค์ น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พะเยา พังงา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ระนอง ราชบุรี ลำปาง เลย สตูล สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองบัวลำภู อุดรธานี อุตรดิตถ์ อุทัยธานี และอุบลราชธานี ซึ่งทั้งหมดจะดำเนินการภายในปีงบประมาณ 2559
5.การเพิ่มพื้นที่ป่าและพื้นที่สีเขียว โดยในพื้นที่สูงชันต้องไม่ให้ใครบุกรุกซ้ำ เพื่อให้ป่าได้ฟื้นคืนสภาพด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นหลักการที่น้อมนำแนวทางตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ดำเนินการ
“โครงการนี้เป็นการทำงานภายใต้หลักการของความร่วมมือ จากเดิมที่รัฐเคยเป็นผู้กำหนดว่าให้ชาวบ้านทำอะไร ตรงไหน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาจะยินยอมพร้อมใจด้วยหรือไม่ จึงต้องเปลี่ยนเป็นการสร้างความเชื่อใจกัน มีการหารือเรื่องการแบ่งโซนพื้นที่โดยกำหนดโซนที่พักอาศัย โซนทำเกษตรขั้นบันได โซนป่าใช้สอย และป่าสมบูรณ์ ซึ่งจะต้องสร้างความเข้าใจจนไม่มีความขัดแย้งจึงจะเดินหน้า” พล.อ.สุรศักดิ์กล่าวสรุปในที่สุด
“ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม” เห็นด้วยกับมาตรการของกระทรวงทรัพยากรฯ ซึ่งเปรียบเสมือนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คือ การไม่ยอมให้พื้นที่ป่า 102 ล้านไร่ที่เหลืออยู่นี้ กลายเป็น “ป่าผืนสุดท้าย” ของประเทศไทย ขณะเดียวกันก็ยังสามารถแก้ปัญหาการบุกรุกโดยการผ่อนผันกับชุมชนและประชาชนผู้ยากไร้ โดยจัดหาที่ดินทำกินให้ได้ด้วย
แต่สิ่งที่เราอดห่วงไม่ได้ และคงต้องฝากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไว้ คือ การที่ที่ดินซึ่งถูกจัดสรรให้ชุมชนและประชาชนผู้ยากไร้จะถูกเปลี่ยนมือไปเป็นของนายทุนเหมือนในอดีตที่ผ่านๆมา
และแน่นอนนั่นย่อมหมายถึง จะต้องมีมาตรการตรวจสอบ คุมเข้มให้ชัดเจนก่อนจัดสรร
คงไม่มีใครอยากเห็นโครงการดีๆที่รัฐทำด้วยความจริงจังและจริงใจ ต้องกลายเป็นความสูญเปล่า และจบลงด้วยการเสียทั้งที่ดินของรัฐ
ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือเสียรู้นายทุนและผู้มีอิทธิพลซ้ำซาก!!!
ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม
