สตาร์ทอัพ ความหวัง รบ.บิ๊กตู่ 1 ในฟันเฟืองกระตุ้นเศรษฐกิจไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/617504

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 10 พ.ค. 2559 05:30

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในปัจจุบันนวัตกรรมด้านไอทีและองค์ความรู้ใหม่ๆ เข้ามามีส่วนช่วยผลักดันให้ธุรกิจเกิดใหม่ ในนาม “สตาร์ทอัพ” (Startup) ผุดขึ้นทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย

เช่นเดียวกันกับรัฐบาลไทย ที่คำนึงถึงความยั่งยืนของผู้ประกอบการ จึงได้มีการส่งเสริมให้ธุรกิจของคนรุ่นใหม่ นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ครอบคลุม กระทั่งต่อยอดพัฒนาได้
ต่อไปในอนาคต

ทำความรู้จักกับสตาร์ทอัพ

สตาร์ทอัพ คือ รูปแบบการทำธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการแก้ปัญหา

สตาร์ทอัพ คือ รูปแบบการทำธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน หรือเห็นโอกาสที่ยังไม่มีใครเคยเห็น โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการแก้ปัญหา และถูกออกแบบมาให้ปรับขนาดและทำซ้ำ (Scalable and Repeatable) เพื่อให้เติบโตได้

จุดเริ่มต้นคำๆ นี้มาจาก “ซิลิคอน วัลเลย์” แหล่งรวมตัวของบริษัทด้านไอทีชั้นนำต่าง ๆ มากมาย ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วโลก รวมถึงในไทย ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เห็นสตาร์ทอัพในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสายเทคโนโลยี มากกว่าธุรกิจในประเภทอื่นๆ เพราะสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาสร้างอัตราการเติบโตได้ง่าย บริษัทด้านไอทีชื่อดัง อย่าง Facebook, Twitter, Uber, Alibaba หรือ Instagram ก็เริ่มต้นมาจากจุดนี้เช่นกัน

Paul Graham แห่ง Y Combinator ธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital / VC) ระดับโลก ได้พูดถึงการเติบโตของ Startup ว่าจะเป็นแบบ S-Curve ช่วงแรกอาจไม่โตมาก เพราะยังหาโมเดลธุรกิจไม่เจอ แต่พอบทจะโตก็เป็นแบบพรวดพราด แล้วจากนั้นก็เริ่มโตช้าลง ตามขนาดลูกค้าที่เริ่มอิ่มตัว

ด้านการหาเงินลงทุน สตาร์ทอัพจะเป็นการใช้ทุนส่วนตัว และการระดมทุนด้วยการนำเสนอไอเดีย (Pitching) เพื่อซื้อใจนักลงทุน ที่จะมาทั้งรูปแบบขององค์กร (VC) และนักลงทุนอิสระ (Angel Investor) ส่วนอีกทางเลือกของการหาเงินทุนก็คือ “Crowdfunding” ซึ่งเป็นการระดมเงินจากคนทั่วไปในอินเทอร์เน็ต 
แน่นอนว่า ไม่มีใครจะยอมให้เงินฟรีๆ ถ้าหากตัวธุรกิจประสบความสำเร็จ มีมูลค่าที่สูงพอ ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการ คืนเงินทุนพร้อมกำไร (Exit) ให้กับนักลงทุน ผ่านขั้นตอนที่นิยมทำอยู่ 2 ทาง คือ การเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ กับขายธุรกิจให้กับบริษัทอื่น ๆ ที่สนใจ (Acquisition)

ฐานเศรษฐกิจใหม่ของประเทศไทย 4.0

“ประเทศไทย 4.0” คือ โมเดลเศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งเริ่มต้นมาจาก “ประเทศไทย 1.0” ที่เน้นภาคการเกษตร ไปสู่ “ประเทศไทย 2.0” ที่เน้นอุตสาหกรรมเบา และก้าวสู่โมเดลปัจจุบัน “ประเทศไทย 3.0” ที่เน้นอุตสาหกรรมหนัก 
ทว่าสิ่งที่กำลังเป็นปัญหาคือ โมเดลดังกล่าวไม่อาจจะพาประเทศพัฒนาไปได้มากกว่านี้ เพราะติด “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” เห็นได้จากในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ช่วง พ.ศ.2500-2536 เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 7-8% ต่อปี จนมาถึงระยะ พ.ศ.2537-ปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยเริ่มมีการเติบโตในระดับเพียง 3-4% ต่อปีเท่านั้น อีกทั้งยังมี “กับดักความเหลื่อมล้ำของความมั่งคั่ง” และ “กับดักความไม่สมดุลในการพัฒนา”

รัฐบาลต้องการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อก้าวสู่ประเทศที่มีรายได้ที่สูง

ทางรัฐบาลจึงต้องปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อก้าวสู่โมเดลถัดไป เปลี่ยนไทยให้กลายเป็น “ประเทศที่มีรายได้ที่สูง” ภายใต้กรอบระยะเวลา 3-5 ปีนี้ 
ประเทศไทย 4.0 เป็นความมุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ไปสู่ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม” หรือด้วยการเปลี่ยนแปลงใน 3 มิติสำคัญเป็นอย่างน้อย ได้แก่ เปลี่ยนจากการผลิตสินค้า โภคภัณฑ์ สู่สินค้าเชิงนวัตกรรม เปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรม สู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม และเปลี่ยนจากการเน้นภาคการผลิตสินค้า ไปสู่การเน้นภาคบริการมากขึ้น

4 องค์ประกอบสำคัญ สู่โมเดลประเทศไทย 4.0

1. เปลี่ยนจากการเกษตรแบบดั้งเดิม สู่การเกษตรสมัยใหม่ เน้นการบริหารจัดการและเทคโนโลยี โดยเกษตรกรต้องร่ำรวยขึ้น และเป็นเกษตรกรแบบเป็นผู้ประกอบการ 2. เปลี่ยนจาก Traditional SMEs หรือ SMEs ที่มีอยู่ ซึ่งรัฐต้องให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา สู่การเป็น Smart Enterprises และ Startups ที่มีศักยภาพสูง 
3. เปลี่ยนจาก Traditional Services ซึ่งมีการสร้างมูลค่าค่อนข้างต่ำ ไปสู่ High Value Services และ 4. เปลี่ยนจากแรงงานทักษะต่ำ สู่แรงงานที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และทักษะสูง

แพลตฟอร์มสร้าง “New Startups” ประกอบด้วย 5 กลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมาย!

กลุ่มที่ 1 : เทคโนโลยีการเกษตร (Agritech) เทคโนโลยีอาหาร (Foodtech)
 กลุ่มที่ 2 : เทคโนโลยีสุขภาพ (Healthtech) เทคโนโลยีการแพทย์ (Meditech) กลุ่มที่ 3 : เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotech)
 กลุ่มที่ 4 : เทคโนโลยีด้านการเงิน (Fintech) อุปกรณ์เชื่อมต่อออนไลน์โดยไม่ต้องใช้คน (IoT) เทคโนโลยีการศึกษา (Edtech) อี–มาร์เก็ตเพลส (E–Marketplace) อี–คอมเมิร์ซ (E–Commerce) 
และ กลุ่มที่ 5 : เทคโนโลยีการออกแบบ (Designtech) ธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Business) เทคโนโลยีการท่องเที่ยว (Traveltech) การเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ (Service Enhancing)

ทำไมรัฐบาล จึงส่งเสริมสตาร์ทอัพ?

ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า การที่รัฐบาลขับเคลื่อนการพัฒนาสตาร์ทอัพนั้น หากเข้าใจถึง “แก่น” ของระบบสตาร์ทอัพ จะพบว่าเป็นบทบาทของรัฐ ที่สนับสนุนและสร้างแรงจูงใจ ให้ทั้งสตาร์ทอัพ และนักลงทุนแข็งแรงขึ้น เพราะในปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนไป โลกได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของนวัตกรรม ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งถูกนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ แซงและขัดจังหวะ จนล้มละลายไป จึงทำให้เริ่มหันมามองศักยภาพของสตาร์ทอัพมากขึ้น

ฉะนั้น มาตรการที่รัฐบาล ส่งเสริมสตาร์ทอัพ จึงเป็นการส่งเสริมนวัตกรรมความสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในสังคม โดยใช้แรงจูงใจทางภาษีให้เอกชนที่มีทุน หันมาสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยมากขึ้น ประเทศไทยจึงได้ประโยชน์จากฐานเศรษฐกิจสตาร์ทอัพเพิ่มเติม จากฐานเศรษฐกิจอื่นๆ ที่มีอยู่แล้วนั่นเอง

สถานการณ์เปลี่ยน โลกจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของนวัตกรรมมากขึ้น
ค่ายมือถือแกนนำหนุนสตาร์ทอัพ จากพลังเอกชน

การที่จะทำให้แผนเศรษฐกิจ ที่มีธุรกิจสตาร์ทอัพเป็นหัวใจสำคัญ ความร่วมมือจากภาคเอกชนก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะจากผู้ให้บริการด้านเครือข่ายโทรคมนาคม ที่เป็นปัจจัยสำคัญในธุรกิจประเภทนี้

เริ่มจากฝั่ง ดีแทค ก็ได้มีการทำโครงการ ดีแทค แอคเซอเลอเรท ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วง บาธ 4 ซึ่งได้มีการเพิ่มงบประมาณเป็น 100 ล้านบาท จาก 50 ล้านบาทต่อปี ซึ่งทุกทีมสตาร์ทอัพ ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้เข้า Intensive Boot Camp ซึ่งมี Mentors เป็นบุคคลระดับแถวหน้าของวงการสตาร์ทอัพไทย 
โดยเป้าหมายโครงการปีนี้ จะเน้นการสร้างสรรค์ นวัตกรรมทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับระบบ Mobile Internet Ecosystem ที่มาช่วยสร้างสีสันและไลฟ์สไตล์ พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตสำหรับคนไทย

ขณะที่ เอไอเอส ก็มีการสนับสนุนสตาร์ทอัพไทย มาตั้งแต่ปี 54 ซึ่งล่าสุดก็ได้เปิดโครงการ เอไอเอส เดอะ สตาร์ทอัพ คอนเนค ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ทำธุรกิจสตาร์ทอัพ ได้เป็นดิจิตอลพาร์ตเนอร์กับบริษัทโดยไม่ต้องประกวด โดยสามารถนำเสนอผลงานผ่านเว็บไซต์ http://www.ais.co.th/thestartup ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งถ้าหากผลงานผ่านการพิจารณาก็จะมีการนัดหมาย ให้เข้ามานำเสนอผลงานและคุยธุรกิจกันต่อไป

ด้าน กลุ่มทรู นั้น ก็มีการสนับสนุนผ่าน True incube โดยเป็นแมวมองหาสตาร์ทอัพที่โดดเด่น เพื่อผลักดันไปสู่ระดับโลก และในงาน Startup Thailand 2016 ที่ผ่านมานั้น กลุ่มทรู ได้จำลองศูนย์กลางสร้างสรรค์งานวิจัยนวัตกรรม “True Innovation Park” ภายในพื้นที่ของโครงการ Whizdom 101 ของ MQDC แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด

อนาคตสตาร์ทอัพไทย รุ่งหรือร่วง!?

ทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชน แถมจำนวนนักลงทุนที่สนใจจะเอาเงินมาลงกับธุรกิจรูปแบบนี้เพิ่มมาก ซึ่งถือเป็นปัจจัยด้านบวกที่ทำให้คนหันมาสนใจการทำสตาร์ทอัพ แต่สิ่งที่ต้องคิดให้หนักต่อจากนี้คือเรื่องฟองสบู่ ที่กำลังจะเล่นงานประเทศต้นกำเนิดสตาร์ทอัพ อย่างสหรัฐอเมริกา

ทาง “The Wall Street Journal” สื่อการเงินแถวหน้าของโลก ได้ออกมาเตือนว่า ฟองสบู่สตาร์ทอัพในสหรัฐฯ กำลังจะแตกในเร็วๆ นี้ ซึ่งในรายงานได้อ้างอิงข้อมูล ที่ระบุว่า ในไตรมาสแรกของปี 2016 ไม่มีสตาร์ทอัพเข้าไปขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนในครั้งแรก (IPO) กับทางตลาดหลักทรัพย์เลยแม้แต่บริษัทเดียว ผิดกับในไตรมาสที่ 4 ของปี 2015 ที่มีสตาร์ทอัพ เข้ามาขายหุ้นราว 10 ราย

นอกจากนี้ ช่วงไตรมาสเดียวกัน ยังมีการระดมทุน VC เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ แถมบริษัทสตาร์ทอัพ ระดับ Unicorn (มูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์) หลายแห่ง ก็มีการทยอยปลดพนักงานรวมถึง Twitter และ Birchbox ซึ่งเทรนด์ของนักลงทุนในตอนนี้ ก็เริ่มเปลี่ยนไปสนใจสตาร์ทอัพ ที่เน้นการปรับตัวและอยู่รอดมากกว่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดด

สิ่งที่จะป้องกันไม่ให้เกิดฟองสบู่ขึ้นได้ จะต้องมาจากความร่วมมือของหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็น นักลงทุนที่ไม่ควรจะให้เงินกับ สตาร์ทอัพที่ยังไม่พร้อม เพราะจะทำให้เกิดการ Push มูลค่าให้สูงขึ้นในระยะสั้น ด้าน ศูนย์บ่มเพาะ (Incubator) จะต้องมีคุณภาพ สร้าง Commitment แบบจริงจัง มี Mentors ที่เข้าใจสตาร์ทอัพ อย่างแท้จริง ด้านภาครัฐเองก็ต้องป้องกันไม่ให้มีคนมาใช้ประโยชน์จากช่องโหวในกลไกและนโยบายสนับสนุนสตาร์ทอัพ

– การสร้างความเข้าใจในการเป็นสตาร์ทอัพแบบรอบด้าน คือ สิ่งสำคัญที่สุด เพราะเส้นทางของความสำเร็จในธุรกิจรูปแบบนี้ จะต้องมาจากการทำงานหนัก มีความมุ่งมั่น ที่จะแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การทำตามกระแส เพราะเชื่อว่าเป็นโมเดลธุรกิจที่รวยเร็ว –

Leave a comment