ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/604334
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 12 เม.ย. 2559 05:01

อนุสันต์-ดร.เสนาะ
มากกว่า 10 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 14.9 ของประชากรทั้งหมดคือจำนวนผู้สูงอายุในปัจจุบัน
และนั่นคือตัวบ่งชี้ว่าประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ
ทั้งอีก 20 ปีข้างหน้าหรือปี พ.ศ.2564 ยอดผู้สูงอายุจะพุ่งเป็น 2 เท่าตัว หรือประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรไทยทั้งประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ หากขยับไกลไปอีกในปี พ.ศ.2578 จะเพิ่มถึงร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมด หมายความว่าประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด
ขณะที่หากมองถึงสถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศไทยยังพบหลากหลายประเด็นน่าเป็นห่วง ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุมีแนวโน้มอยู่ตามลำพังเพิ่มมากขึ้นจากปี 2537 มีร้อยละ 3.6 เป็นร้อยละ 10.4 ในปี 2557 ภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น วัยแรงงานลดลงขณะที่ตลาดแรงงานในระบบไม่เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุ และอีก 3 ปีข้างหน้าจำนวนผู้สูงอายุจะมากกว่าเด็ก รวมไปถึงสภาพแวดล้อมสิ่งอำนวยความสะดวกก็ยังเป็นอุปสรรคต่อผู้สูงอายุ
13 เมษายน ของทุกปี คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” ซึ่งนอกจากเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกคนได้หันกลับมาตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของผู้สูงอายุแล้ว ยังหมายความรวมถึงการต้องเพิ่มดีกรีความใส่ใจในการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุมากขึ้นด้วย
กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) หนึ่งในหน่วยงานสังกัด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 มี.ค.2558 ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักที่ต้องรับบทบาทในการตอบโจทย์ข้อใหญ่กับการรับมือ “สังคมผู้สูงอายุ”
นายอนุสันต์ เทียนทอง อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กล่าวว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว ผนวกกับความต้องการของผู้สูงอายุที่คาดหวังจะมีสุขภาพแข็งแรง มีความมั่นคงในรายได้ ในที่อยู่อาศัย
มีคุณค่าศักดิ์ศรี การยอมรับจากสังคมและความอบอุ่นในครอบครัว เป็นความท้าทายของ ผส.ที่จะต้องเดินหน้าใน 5 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย 1.การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ ทั้งการเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ รายได้ การออม รวมไปถึงการจัดทำหลักสูตรการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยเกษียณ ทั้งในภาคราชการ และเอกชน
2.การส่งเสริมผู้สูงอายุที่ยังมีศักยภาพและแข็งแรงออกสู่สังคมทำกิจกรรม โดยเฉพาะการพัฒนาศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) ซึ่งขณะนี้ได้จัดตั้งนำร่องไปแล้ว 878 แห่ง หรืออำเภอละ 1 แห่ง เพื่อเป็นศูนย์รวมการจัดกิจกรรมของผู้สูงอายุในชุมชน รวมไปถึงกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ โดย ผส.เข้าไปสนับสนุนงบประมาณปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ และสนับสนุนกิจกรรมทั้งกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตและกิจกรรมด้านอาชีพ นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนผู้สูงอายุ ขณะนี้มีอยู่ 43 แห่ง ใน 22 จังหวัด เป็นโรงเรียนที่มีรูปแบบของการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้สูงอายุ
3.การส่งเสริมสวัสดิการและการคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ โดยเฉพาะการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง ผู้สูงอายุที่ติดเตียง กลไกสำคัญคือระบบอาสาสมัคร รวมถึงการวางแผนดูแลผู้สูงอายุโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน นอกจากนี้ยังสนับสนุนเงินซ่อมแซมบ้านให้ผู้สูงอายุผู้ยากไร้
4.บทบาทการกำหนดนโยบาย มาตรการ และกลไก ผ่านคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ซึ่งที่ผ่านมาได้ขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ อาทิ การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การผลักดันให้ พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติขับเคลื่อน รวมไปถึงกลยุทธ์ในการขยายอายุการทำงานของผู้สูงอายุทั้งในภาคราชการ และภาคเอกชน และการเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุมีงานทำในสาขาอาชีพที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะ หรือสาขาขาดแคลน
และ 5. กองทุนผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นแหล่งทุนใช้จ่ายเกี่ยวกับการคุ้มครอง การส่งเสริมและการสนับสนุนผู้สูงอายุให้มีศักยภาพความมั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
“ไฮไลต์ปีนี้ที่เราตั้งเป้าคือการยกระดับศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุใน 878 แห่งให้มีความเข้มแข็ง มีมาตรฐาน เกิดการใช้ประโยชน์ในการทำกิจกรรมหลากหลายสนองความ ต้องการของคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุได้มีพื้นที่ออกมาทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นเหมือนศูนย์กลางที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างวัย ขณะเดียวกันก็สร้างความตระหนักให้กับชุมชนให้เห็นความสำคัญของผู้สูงอายุ เพราะชุมชนเป็นฐานสำคัญที่สุดที่จะทำให้การดูแลผู้สูงอายุมีประสิทธิภาพโดยชุมชนได้ดูแลกันเอง” นายอนุสันต์ ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน
ขณะที่ ดร.เสนาะ อูนากูล ซึ่งได้รับการประกาศยกย่องให้เป็นผู้สูงอายุแห่งชาติประจำปี 2559 ได้เสนอแนวคิดว่า “สิ่งสำคัญของผู้สูงอายุคือการมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดี ทั้งนี้ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยมีประสบการณ์ ความรู้ที่สั่งสมมามากมาย สามารถนำไปใช้ก่อเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติได้ อย่านึกว่าคนชราไร้ประโยชน์ แต่ให้คิดว่าเป็นของมีค่าที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ โดยเฉพาะการทำงานจิตอาสา ขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้น”
ทีมข่าวการพัฒนาสังคม มองว่า การเตรียมความพร้อมรองรับ “สังคมผู้สูงอายุ” ไม่ใช่ภารกิจ บทบาทของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของทุกหน่วยงาน และรวมถึงทุกคนในสังคมที่จะต้องตระหนักและให้ความสำคัญเพื่อให้การก้าวสู่วัยสูงอายุเป็นไปอย่างมีคุณภาพ
การเปิดโอกาส เปิดพื้นที่รองรับ และมีทัศนคติเชิงบวก ปัจจัยสำคัญในการเสริมศักยภาพผู้สูงอายุ
เพื่อสร้างสรรค์ผู้สูงอายุไทยให้กลายเป็น “พลัง” ไม่ใช่ “ภาระ”!!!
ทีมข่าวการพัฒนาสังคม


