ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/598981
โดย Advertorial 1 เม.ย. 2559 06:01

“จิ๊บว่าทุกคนน่าจะรู้อยู่ในใจอยู่แล้วว่าเราชอบอะไร ต้องการอะไร แค่ตัดปัจจัยอย่างอื่นออกไป ก็ไม่น่าจะมีใครลังเลอะไรนะ สำหรับคนที่อยากทำแบบนี้ อยากเป็นทรานส์ ก็คงต้องให้เขาถามใจตัวเอง ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ไม่ต้องคิดถึงคนอื่นว่าจะมองยังไง แค่ลองถามตัวเองดู”
จิ๊บรู้ตัวว่าอยากเป็นผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก เริ่มตั้งแต่ ป.1 เราชอบเล่นกับเพื่อนผู้ชาย ใจเราอ่ะคิดว่าเราเป็นผู้ชายมาตลอด แต่ตอนนั้นยังไว้ผมยาวอยู่เลย เราไม่รู้ด้วยว่า “ทอม” คืออะไร รู้แค่ว่าเราไม่ชอบเล่นกับผู้หญิง ถ้าถามว่าทางบ้านเลี้ยงดูเรามาให้เป็นแบบนี้รึเปล่า จิ๊บว่าไม่เกี่ยวนะ เพราะที่บ้านเขาปลูกฝังให้เราเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ พอเริ่มโต เรารู้สึกว่าทางบ้านบังคับเราไม่ได้แล้ว เราก็เลยตัดผม จากนั้นก็ตัดผมสั้นมาตลอด จิ๊บมีแฟนเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่ ม.ต้น คือเรารู้สึกชอบผู้หญิง ส่วนผู้ชายเราก็ไม่เคยชอบแบบแนวนั้นเลย เราชอบได้แบบเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง เท่านั้น!!! ตอนนั้นเราเรียกตัวเองว่าเป็นเพศทอม แต่พอเริ่มมีความรู้เรื่องทางการแพทย์มากขึ้น ศึกษาจากเว็บเมืองนอกเพิ่มเติม เราเลยรู้สึกว่า เราอยากข้ามไปเป็น “ทรานส์แมน (Transman)”
หลังจากที่เราเริ่มรู้ตัวว่าเป็นผู้ชาย ตอนนั้นสิ่งแรกที่คิดคือ ต้องเอาหน้าอกออก เพราะมันบ่งบอกว่าเรายังเป็นผู้หญิงอยู่ ตอนนั้นเรียนจบแล้ว ก็เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง บรรลุนิติภาวะแล้วด้วย เลยตัดสินใจเข้ามาที่โรงพยาบาลยันฮีเพื่อปรึกษาคุณหมอเรื่องตัดหน้าอก ถ้าถามว่าลังเลรึเปล่า? เราว่าไม่นะ เพราะเราตั้งใจจะเอาออกอยู่แล้ว ตอนนั้นก็ต้องผ่านกระบวนการพบจิตแพทย์ด้วย เขาจะประเมินความพร้อมทางด้านจิตใจ ว่าเราพร้อมจะเป็นผู้ชายแน่หรือยัง? เพราะมีบางเคสที่ลึกๆ แล้วยังชอบผู้ชายอยู่ อันนี้จิ๊บว่าเราต้องถามตัวเองก่อน เพราะการเปลี่ยนไปเป็นทรานส์ คุณไม่สามารถกลับมาเป็นแบบเดิมได้แล้วนะ แต่สำหรับจิ๊บคือคิดว่าเป็นผู้ชายมาตลอด เรื่องนี้เลยตัดสินใจได้เร็ว ก็เลยได้ตัดหน้าอกไป ตอนนี้ก็ 4 ปีกว่าแล้วที่ตัดออก
ชีวิตหลังการตัดหน้าอกออกไปแล้วก็โอเคนะ จิ๊บว่า…มันดูเป็นผู้ชายมากขึ้นแต่ก็ใช่ว่าจะแมนเลยทีเดียว เพราะคนที่จะมาเป็นทรานส์ได้ต้องทำใจระยะยาวด้วยกับการฉีดฮอร์โมน สำหรับจิ๊บนั้นคิดไว้แล้วว่าเราเลือกตัดสินใจที่จะทำเราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ การไปฉีดฮอร์โมนทุกๆ 15 วัน ที่โรงพยาบาลยันฮี เราต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต ต้องบอกก่อนว่าจิ๊บไม่เคยซื้อมาฉีดเองนะ จิ๊บให้คุณหมอฉีดให้ทุกครั้ง แล้วการฉีดเข้าไปเราก็ต้องยอมรับผลข้างเคียงต่างๆ ที่จะตามมาได้ด้วย เช่น สิวขึ้น ภูมิแพ้กำเริบ จากที่ปกติจิ๊บไม่เคยเป็นภูมิแพ้เลย แต่หลังจากฉีดฮอร์โมนก็มีแพ้บ้าง ขึ้นผดที่หน้าบ้าง แต่ช่วงหลังๆ มาไม่ค่อยเป็น มันจะมาเป็นช่วงๆ แล้วก็อาจจะมีผลต่อเรื่องสุขภาพบ้าง
หลังจากฉีดฮอร์โมนไปได้ปีกว่าๆ ก็ตัดสินใจปรึกษาคุณหมอขอผ่าตัดอวัยวะของเพศหญิงในร่างกายออก ก็ผ่าตัดออกไปหมดทั้งมดลูกและรังไข่ ส่วนการฉีดฮอร์โมนจะอยู่ในการดูแลของแพทย์เฉพาะทางตลอดจิ๊บมองไปถึงเรื่องสุขภาพในอนาคตด้วย เพราะอาจเกิดจากผลกระทบของการฉีดฮอร์โมน ซึ่งคุณหมอจะคอยดูแลให้ฉีดฮอร์โมนในปริมาณที่เหมาะสมกับตัวเรา
ส่วนเรื่องผ่าตัดต่อองคชาต เราก็คิดที่จะทำเพราะจะได้เหมือนผู้ชายมากขึ้น จิ๊บไม่ต้องการเป็นเพศที่อยู่ตรงกลาง จิ๊บต้องการเป็นเพศชายไปเลย ตอนคุยเรื่องตัดต่อองคชาต ก็ทำใจไว้อยู่แล้วว่ามันอาจจะไม่ได้เหมือนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่ซีเรียส เพราะวิวัฒนาการทางการแพทย์ตอนนี้ก็ทำได้เหมือนมากแล้ว และมันก็สามารถรู้สึกได้เหมือนผู้ชายหมดทุกอย่าง มีการปลูกถ่ายเส้นประสาทให้เราเข้าไปด้วย ก็สามารถถึงจุดสุดยอดได้เหมือนกัน (ยิ้มเบาๆ) สำหรับเรื่องของความรัก เราก็มีบอกแฟนเหมือนกันนะ มีคุยกันบ้าง จิ๊บว่าเขาใจกว้างที่ยอมให้จิ๊บทำ ถึงจะคบกันได้ไม่นาน แต่แค่เขารับเราที่เราเป็นแบบนี้ได้ ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนไปยังไงแบบไหน จิ๊บว่าก็โอเคแล้ว (ยิ้ม) ตอนนี้ความรักก็ Happy ดี
Feedback หลังเราทำไปแล้ว ก็มีส่วนหนึ่งที่เข้ามาชื่นชม ชอบเราเรื่องที่เรากล้าแสดงออก ส่วนอีกแบบคืออาจจะมีผู้ชายบางคนที่อาจไม่เห็นด้วย เมื่อเปรียบเทียบว่าจะไปสู้ของจริงได้ยังไง แต่เราก็ปล่อยไป เพราะเราไม่ได้แคร์ว่าทำมาแล้วจะสู้ได้หรือไม่ได้ เราไม่ได้คิดว่าจะมาแข่งกัน อีกอย่างที่เรากล้าแสดงออกเพราะเราอยากจะเป็นตัวเรา เหมือนเป็นตัวแทนเพศที่สามให้เขามีที่ยืนมากขึ้น ให้สังคมยอมรับมากขึ้นว่าการเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้เป็นภัยกับใคร
ปัจจุบันนี้ จิ๊บก็เป็นเทรนเนอร์ให้กับเพศที่สามและผู้หญิงที่เรียกว่า “ทรานส์ฟิต” เพราะจิ๊บเป็นคนชอบออกกำลังกาย เรามองว่าเพศที่สามบางคนเวลาเขาไปฟิตเนส ไม่ว่าเค้าจะทำอะไร คนทั่วไปรอบๆ ข้างชอบมองด้วยสายตาแปลกๆ จนเขาไม่สามารถเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกเขิน อาย อึดอัด จิ๊บเลยคิดว่ามาเทรนด้วยกันน่าจะดีกว่า เขาจะได้ทำกิจกรรมที่ชอบได้อย่างเต็มที่
สุดท้ายนี้ จิ๊บอยากฝากบอกคนที่กำลังอยากเปลี่ยนเป็นทรานส์แมนแบบจิ๊บว่า การที่เราจะเปลี่ยนตัวเองมาเป็นเพศชายมันไม่ใช่เรื่องง่าย จิ๊บศึกษาหาข้อมูลเยอะมากทั้งของไทยและต่างประเทศ จนเริ่มมีความรู้แล้วตัดสินใจทำ เพื่อนๆ คนไหนที่สนใจ จิ๊บแนะนำว่าควรเลือกโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีคุณหมอที่เชี่ยวชาญในการทำเฉพาะทาง เพราะนอกจากเราจะได้ทำตามที่เราต้องการแล้ว เรายังมั่นใจในสิ่งที่เราตัดสินใจทำ ซึ่งผลลัพธ์ก็อาจจะขึ้นอยู่กับความพอใจแต่ละบุคคลด้วย
“ทรานส์แมน (Transman)”
(ภาพประกอบที่ได้รับเชิญไปออกรายการทีวี ที่ประเทศเวียดนาม+ถ่ายภาพประกบกับสาวหล่อชาวเวียดนาม)











