ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/602991
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 เม.ย. 2559 05:01

มีโอกาสแพ็กกระเป๋าติดตามผู้โชคดี 20 คน ที่สามารถพิชิตรางวัลจากแคมเปญ “อร่อยสุดฟิน ลุ้นเที่ยวญี่ปุ่นฟรี” ของ บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ในนาม “ดีแทครีวอร์ด” และ บริษัทยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นเนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KFC ไปตะลุยญี่ปุ่นเมื่อปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเป็นทริปที่ฟิน..สุดๆ ไม่ใช่แค่อากาศที่หนาวเหน็บถึง 7 องศา แต่บรรยากาศของการ กินช็อป เที่ยว จุใจอย่างเต็มอิ่ม ทำให้หายเหนื่อยกันไปเยอะทีเดียว…

จุดหมายแรกของการเดินทางครั้งนี้ เริ่มต้นที่ ปราสาทโอซากา ที่เป็นเสมือนตำนานความยิ่งใหญ่ของแดนซามูไร ในยุคอะซุชิโมะโมะยะมะ หรือราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น และเป็น 1 ใน 4 ปราสาทของญี่ปุ่นที่สวยงามติดอันดับโลก ซึ่งถ้าโชกุน อิเดโยชิ โตโยโตมิ ยังมีชีวิตอยู่ คงนั่งยิ้มภาคภูมิใจกับสมบัติที่ตัวเองสร้างขึ้นแน่ๆ
ตัวปราสาทถูกสร้างอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา ล้อมรอบด้วยป้อมปราการหินขนาดใหญ่ ชั้นบนสุดของปราสาทแห่งนี้สามารถชมวิวทิวทัศน์ของเมืองโอซากาได้แบบ 360 องศา ภายในตัวปราสาทจัดแสดงเรื่องราวความเป็นมา ตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ต่างๆของ โชกุน อิเดโยชิ โตโยโตมิ ไว้อย่างครบถ้วน
ออกจากปราสาทโอซากา ก็ได้เวลาไปย้อนรอย “อิคคิวซัง” ที่ “ปราสาททอง” หรือ วัดคินคะคุจิ ซึ่งสร้างโดย “โชกุน อาชิคางะ โยชิมิสึ” เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อน ตัวปราสาทประดับทองคำเปลวทั้งหลัง มี “นกฟินิกส์” ประดับอยู่บนยอดปราสาท ตั้งตระหง่านริมสระน้ำขนาดใหญ่ เวลาที่ต้องแสงพระอาทิตย์ จะปรากฏภาพของตัวปราสาททองสะท้อนเป็นเงาในผืนน้ำสวยงามเกินบรรยาย ภายหลังบุตรชายของท่านโชกุนได้ยกให้เป็นที่ตั้งของวัด
ตัวปราสาทเดิมถูกไฟไหม้เมื่อปี พ.ศ.2493 ก่อนจะสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2498
จากโอซากามุ่งหน้าสู่เกียวโต เป้าหมายคือ วัดคิโยมิสึ หรือวัดน้ำใส ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ชมซากุระ และใบไม้แดงที่มีชื่อเสียงมากของเมืองเกียวโต โดยเฉพาะในช่วงฤดูการชมดอกไม้หรือใบไม้ พอตกค่ำจะมีการเปิดไฟส่องต้นไม้และอาคารของวัด ดูสวยงามแปลกตาไปจากตอนกลางวัน
วัดคิโยมิสึ เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น อายุกว่า 1,200 ปี ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาอิงาชิยามามีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านทำให้เป็นที่มาของชื่อ “วัดน้ำใส” และยังเป็น 1ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
ก่อนเข้าวัดแนะนำให้ล้างมือและบ้วนปากเสียก่อน ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมของการเข้าวัดญี่ปุ่น ที่ทุกวัดมักจะมีบ่อน้ำพร้อมกระบวยให้คนที่จะเข้าวัด ตักมาล้างมือทั้งสองข้าง จากนั้นใช้มือรองน้ำจากกระบวยบ้วนปากก่อนจะเข้าไปไหว้พระ
จุดเด่นของวัดน้ำใส คือ ระเบียงวิหารใหญ่ที่ก่อสร้างโดยใช้ท่อนซุงวางเรียงซ้อนกันทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ขึ้นมาเป็นเสาและคานรองรับ โดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว แต่ใช้วิธีโบราณ คือ การเข้าลิ่มตอกสลักไม้ แทน ภายในวัดประดิษฐาน “เทพเอปิสึ” เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง และพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่นี่เราสามารถถ่ายภาพวิวเมืองเกียวโตจากระเบียงไม้ของวิหารใหญ่ ก่อนจะลงมาดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์สามสาย ที่ไหลลงมาจากเทือกเขาตามธรรมชาติ โดยความเชื่อของคนญี่ปุ่นเชื่อว่า น้ำแต่ละสายสามารถขอพรในเรื่องต่างๆกันได้ สายที่ 1 หมายถึงความร่ำรวย สายที่ 2 หมายถึงความสวยงาม ถ้าผู้ชายก็ขอให้มีหน้าตาดีได้ และสายที่ 3 คือ ความมีสุขภาพที่แข็งแรง เอาเป็นว่า ดื่มทั้ง 3 สาย จะได้ทั้งรวย สวย หล่อ และแข็งแรง ครบถ้วนความปรารถนาของมนุษย์…
นอกจากไหว้พระ ขอพรแล้ว สิ่งที่ถูกใจนักช็อป นักชิมไทยมากเห็นจะเป็นสองข้างทางเดินขึ้นสู่ตัววัด ที่มีร้านค้าตบแต่งสมัยเอโดะ เรียงรายอยู่เต็มสองข้างทาง ผู้คนทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่แม้ในวันธรรมดา สามารถเลือกซื้อสินค้าพื้นเมืองขึ้นชื่ออย่าง ขนมโมจิ ชาเกียวโตแท้ๆ ตุ๊กตาเกียวโต เครื่องปั้นเซรามิก และไฮไลต์อีกอย่างคือ…คุณจะได้เห็นสาวๆญี่ปุ่นใส่ชุดกิโมโน เดินอวดสายตาชาวโลกกันอย่างคึกคักที่นี่ด้วย
วันรุ่งขึ้น โปรแกรมเที่ยวของเราฟังดูน่าตื่นเต้น เพราะต้องออกไปล่องเรือโจรสลัด กลางทะเลสาบฮามานะ หรือทะเลสาบปลาไหล เพราะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาไหลที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ในเขตอุทยานแห่งชาติฮาโกเน ในเมืองฮามามัทซึ ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองโตเกียวและเมืองนาโกยา ในจังหวัดชิซุโอกะ ที่นี่ถือเป็นแหล่งกำเนิดการทำฟาร์มปลาไหลที่มีชื่อเสียงมาเป็นร้อยๆปี ปลาไหลยี่ห้อทะเลสาบฮามานะ (Hamana) ถือเป็นปลาไหลที่มีชื่อเสียงมากในญี่ปุ่น
จากทะเลสาบฮามานะก็ได้เวลาไปล่องเรือโจรสลัดกันที่ทะเลสาบอาชิ เรือลำนี้มีชื่อว่า รอยัล II หรือรอยัล 2 นั่นเอง เป็นเรือที่ออกแบบตามเรือรอยัลหลุยส์ซึ่งเป็นเรือรบระดับเฟิร์สคลาสของกองทัพฝรั่งเศส ในช่วงศตวรรษที่ 18
การล่องเรือที่นี่ในแต่ละฤดูกาลจะแตกต่างกันไป ถ้าเป็นฤดูร้อนก็จะได้สัมผัสกับลมพัดเย็นสบาย โดยเฉพาะในช่วงแดดร่มลมตก แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ก็จะเต็มไปด้วยสีสันของใบไม้สีแดงที่สวยงาม ราวกับภาพวาด ส่วนฤดูหนาวก็จะเห็นหิมะตกปกคลุมภูเขา เป็นความงามที่เหนือคำบรรยายจริงๆ
ระหว่างล่องเรือชมทะเลสาบ เราสามารถที่จะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิและประตูศาลเจ้าฮาโกเน ซึ่งพวกเราได้มีโอกาสขึ้นไปสักการะศาลเจ้าแห่งนี้ เพื่อเป็นสิริมงคลกันด้วย
หลังเที่ยวจนจุใจก็ได้เวลาละลายเงินเยนกันเสียที และทันทีที่รถบัสเข้าจอดในที่จอดรถของโกเทมบะ แฟคทอรี่ เอ้าต์เล็ต จากที่มาด้วยกันก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปจนแทบหากันไม่เจอ เพราะที่นี่มีสินค้าแบรนด์เนมจากทุกมุมโลกให้เลือกซื้ออย่างจุใจ ก่อนที่จะไปปิดท้ายวันกันด้วย “ขาปูยักษ์” ที่ให้กินแบบไม่อั้น
เนื้อปูหวานสดก็จริง แต่ถ้าไม่มีน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ไกด์พกใส่ลังไปจากเมืองไทย คงกินได้ยาก ถึงแม้เขาจะให้กินได้จนพุงปริก็ตาม
และเพื่อให้มาถึงญี่ปุ่นแบบญี่ปุ่นจริงๆ คืนนี้ เราจึงตัดสินใจเปลื้องผ้าลงแช่ออนเซ็นเพื่อขจัดความเมื่อยล้า ก่อนที่จะหลับสบายแบบลืมเหนื่อยทั้งคืน
และเพื่อสุดฟินแบบชื่อทริป รุ่งขึ้นเรามีนัดกับหิมะขาวๆที่ลานเล่นสกี “ฟูจิเทน” ซึ่งเป็นลานสกีที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของญี่ปุ่น เด็กๆชาวญี่ปุ่นจะมาหัดเล่นสกีกันคึกคักในช่วงวันหยุด จากนั้นก็ไปต่อกันที่ “พิพิธภัณฑ์แผ่นดินไหว” หรือ EARTH QUAKE MUSEUM ซึ่งจำลองรูปแบบการเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดเสมือนจริง ประมาณว่าเล่นเอาคนเข้าไปตื่นเต้นนึกว่าเป็นเรื่องจริงกันเลยละ…
แล้วก็มาถึงไฮไลต์ที่หลายคนใฝ่ฝันนั่นก็คือ การได้ชมภูเขาไฟฟูจีแบบเต็มตา ซึ่งบางครั้งภูเขาไฟที่ว่านี้ก็ขี้อายเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะส่วนยอดไม่ค่อยจะเผยโฉมออกมาให้เห็นสักเท่าไหร่ มองไปกี่ทีก็มีแต่เมฆปกคลุมตลอด
จบทริปกันที่โตเกียว แดนสวรรค์ของนักกิน นักช็อป โดยเฉพาะย่านดังอย่างชินจุกุและฮาราจุกุ งานนี้คุณสาวๆเบิกบาน แต่สุภาพบุรุษกระเป๋าฉีกกันเป็นแถว โดยเฉพาะรองเท้ายอดฮิตอย่างโอนิสุกะ ไทเกอร์ ที่บรรดาคนไทยขนซื้อกันเป็นหอบๆกลับบ้าน และสุดท้ายไม่พลาดการชม “ซากุระ” แรกแย้มกลางสวนอุเอโนะ ที่คนญี่ปุ่นนิยมไปนั่งดูดอกไม้กันทั้งครอบครัว ดูอบอุ่นและโรแมนติกมาก มีอีก 2-3 ที่ในโตเกียวที่คิดว่าคนไทยคงไปกันมาหมดแล้วละ ไม่ว่าจะเป็นวัดอาซากุสะ วัดนาริตะซัง ..
.
ก่อนจะโบกมือบ๊ายบาย…..ซาโยนาระ เจแปน แล้วบินกลับถึงเมืองไทยด้วยหัวใจที่เบิกบาน….เต็มๆ!!







