สัมผัสพลัง “เมตตา-ศรัทธา-ปัญญา” ที่ “มหาเจดีย์โพธินาถจำลอง” แห่งที่สองของโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/613019

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 เม.ย. 2559 05:01

 

พระมหาธาตุเจดีย์ไตรรัตนพุทธญาณรังสีปฐมวีมงคล.

ไปดูเจดีย์เนปาลในเมืองไทยกันมั้ย” เพื่อนสาวอารมณ์ศิลป์เอ่ยปากชวน ตอนแรกก็งงๆอยู่ว่า เจดีย์เนปาลในเมืองไทยมีด้วยหรือ และอยู่ที่ไหน

คำตอบคือ อยู่ที่เชียงใหม่ ว่าแล้วก็ขับรถขึ้นเหนือกันเลย โดยมีจุดหมายปลายทางที่ “อาศรมพรหมธาดาพุทธาสถาน” อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่

ทางขึ้นมหาเจดีย์.

จากตัวเมืองเชียงใหม่ขับรถไปตามถนน สายเชียงใหม่-ฮอด ราว 60 กิโลเมตร ผ่านวัดพระบรมธาตุศรีจอมทอง ขับตรงไปจนถึง สถานีตำรวจจอมทองจะเห็นสี่แยกไฟแดง ให้เลี้ยวขวาเข้าซอยข้างที่ว่าการอำเภอจอมทอง ขับไปตามป้ายสถานปฏิบัติธรรมนิโรธรรม แค่นิดเดียวก็จะเห็นมหาเจดีย์หน้าตาเหมือนกับมหาเจดีย์โพธินาถ ที่กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ตั้งตระหง่านอยู่บนสันเขาเล็กๆ ตรงทางเข้าเขียนว่า “อาศรมพรหมธาดาพุทธาสถาน” แน่ใจได้ว่ามาไม่ผิดที่แน่ๆ

องค์พระพุทธรูปตระห่าน.

ทันทีที่เลี้ยวรถเข้าสู่อาศรม เราสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบที่แฝงด้วยพลังแห่งเมตตาของสถานที่ แม้ว่าอากาศจะร้อนจัด แต่ใจเรากลับไม่ร้อน มีแต่ความมุ่งมั่นศรัทธาที่จะขึ้นไปกราบองค์มหาเจดีย์ ตามความตั้งใจเท่านั้น

ด้านหน้าองค์มหาเจดีย์มีรูปปั้นองค์มหาเทพตามความเชื่อฮินดู.

“มหาเจดีย์โพธินาถจำลอง” องค์นี้มีชื่อเรียกว่า “พระมหาธาตุเจดีย์ไตรรัตนพุทธญาณรังสีปฐวีมงคล” เป็นเจดีย์รูปทรงศิลปะแบบเนปาลขนาดเท่ากันกับมหาเจดีย์โพธินาถ ซึ่งเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล ด้านบนแต่ละด้านของเจดีย์มีรูปดวงตาที่สาม หรือ Wisdom Eyes ที่บางครั้งก็เรียกว่า Buddha Eyes ที่มีผู้ให้ความหมายแตกต่างกันไป บ้างก็ว่าเป็นดวงตาเห็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่บางคนเชื่อว่า การกระทำทุกอย่างของมนุษย์จะอยู่ในสายตาของพุทธะเสมอ

องค์มหาเจดีย์ถ่ายจากระยะไกล.

แต่ถ้าดูตามความหมายของชาวเนปาลซึ่งเรียกดวงตาคู่นี้ว่า “ฮัมมิกะ” (Hermika) แปลว่า “ดวงตาเห็นธรรม” ซึ่งมิใช่ดวงตาแห่งพระพุทธเจ้า หากแต่เป็นดวงเนตรขององค์ “อวโลกิเตศวร” พระโพธิสัตว์ผู้เป็นใหญ่ในโลก ที่ทรงมองลงมาเบื้องล่างอย่างมีเมตตา แม้จะทรงสั่งสมทานบารมีจนพร้อมจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่พระองค์กลับยังไม่ไปไหน ทรงสถิตอยู่เพื่อ คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากให้ก้าวพ้นบ่วงทุกข์ไปสู่แดนนิพพานอันเป็นสุขนิรันดรพร้อมๆกันเสียก่อน

ประวัติการสร้าง พระมหาธาตุเจดีย์ไตรรัตนพุทธญาณรังสีปฐวีมงคล เขียนไว้ว่า ครูบาเจ้าตรัยเทพ จันทวัณโณ ซึ่งเป็นผู้สร้างและพัฒนาอาศรมพรหมธาดาแห่งนี้ ได้จำลองแบบงานสถาปัตยกรรมมาจาก เจดีย์โบดะนาถของเนปาล ถือเป็นมหาเจดีย์โพธินาถจำลององค์แรกของประเทศไทย และเป็นองค์ที่สองของโลก

Wisdom Eyes ตาที่สาม หรือดวงตาแห่งปัญญา.

ครูบาตรัยเทพ จันทวัณโณ.

นอกจากมหาเจดีย์องค์ใหญ่แล้ว สิ่งปลูกสร้างภายในบริเวณอาศรมพรหมธาดา ครูบาเจ้าตรัยเทพได้สร้างให้กลมกลืนและสอดคล้องกับสภาพพื้นที่บนไหล่เขา โดยมีหลักการ คือ การรักษาต้นไม้ทุกต้นไว้อย่างสมบูรณ์ โดยการเว้นต้นไม้ไว้ระหว่างทางเดินรอบๆสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

พระฤาษีในอาศรมพรหมธาดา.

สำหรับรูปปั้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ คนที่มาที่นี่อาจจะดูแปลกๆที่มีทั้งรูปปั้นองค์เทพตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งดูเหมือนจะมีเกือบครบทุกองค์ โดยเฉพาะองค์หลักๆอย่างเช่น พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ ฯลฯ และยังมีรูปปั้นของพระโพธิสัตว์หรือองค์เทพตามความเชื่อของจีน ศาสดาของศาสนาคริสต์ ไปจนถึงรูปปั้นของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหญิงและชาย อย่างเช่น ท่าน ก.เขาสวนหลวง หรือ อุบาสิกากี นานายน ผู้ล่วงลับ ซึ่งครูบาเจ้าตรัยเทพ ให้เหตุผลของการสร้างสิ่งเหล่านี้ว่า ไม่ต้องการให้ยึดติดเฉพาะนักบวชหรือนักปฏิบัติในพุทธศาสนาเท่านั้น

วันที่ครูบาเจ้าตรัยเทพไปกราบหลวงปู่จันทา.

ครูบาตรัยเทพ บอกว่า อาศรมพรหมธาดาพุทธาสถานเปิดกว้างให้ทุกเชื้อชาติ ทุกชนชั้นและทุกศาสนา เข้ามาศึกษาเพื่อปฏิบัติธรรมเพราะศาสดาของทุกศาสนาล้วนสอนคนให้มีเมตตา สอนให้เป็นคนดี สอนให้อยู่ในสังคมอย่างเกื้อหนุน จุนเจือ มีความรักความสามัคคีต่อกันทั้งสิ้น ทุกคนรู้หลักและคำสอนของศาสดาได้จากการอ่านการสอน แต่คนที่รู้แจ้งคนที่รู้ธรรมนั้นมีน้อยเพราะไม่ลงมือฝึกปฏิบัติ

“แท้ที่จริงแล้วนักปฏิบัติธรรมมีทุกเชื้อชาติ ทุกชนชั้นและทุกศาสนา สิ่งที่แตกต่างกันเป็นแค่แนวทางหรือวิธีการปฏิบัติ และชื่อเรียกที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของชนชาติและศาสนานั้นๆ แต่จุดมุ่งหมายอันเดียวกัน คือ ความสงบแห่งจิต เพื่อให้เกิดปัญญา” ครูบาเล่าให้ฟังถึงแนวคิดในการจัดสร้างรูปปั้นหรือสถานที่ต่างๆ ภายในอาศรม

รูปหล่อและสังขารหลวงปู่จันทา อนากุโล.

นอกจากนี้ ที่อาศรมพรหมธาดาแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานสรีระสังขารของ “หลวงปู่จันทา อนากุโล” อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าเกษมสุข อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งมรณภาพตั้งแต่เดือน ต.ค.2553 ในท่านั่ง และร่างยังไม่เน่าเปื่อย ลูกศิษย์ของหลวงปู่ได้นำสรีระสังขารของท่านมาไว้ที่นี่ตามเจตนารมณ์ของหลวงปู่เคยบอกไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะละสังขาร

แผนที่ทางไปอาศรมพรหมธาดา.

เรื่องราวของหลวงปู่จันทากับครูบาเจ้าตรัยเทพนั้นมีความอัศจรรย์เป็นอย่างมาก โดยหลวงปู่เชื่อว่า ครูบาเจ้าตรัยเทพเป็นอาจารย์ของท่านเมื่อชาติก่อน เมื่อท่านเห็นรูปถ่ายของครูบาเจ้าตรัยเทพ ก็ทราบโดยญาณและบอกว่านี่คืออาจารย์ของท่าน และท่านอยากไปกราบครูบาเจ้าตรัยเทพมาก แต่ครูบาเจ้าตรัยเทพ เห็นว่าท่านเป็นพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ต้องไปกราบท่านก่อน ครูบาเจ้าตรัยเทพจึงได้ไปกราบหลวงปู่จันทาที่ปราจีนบุรีและหลวงปู่จันทาก็ได้มาเยี่ยมครูบาเจ้าตรัยเทพที่เชียงใหม่บ่อยๆ จนกระทั่งหลวงปู่จันทาอาพาธหนักและได้เรียกหาครูบาเจ้าตรัยเทพทุกวัน พระยาวซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากจึงได้โทรศัพท์แจ้งแก่ครูบาเจ้าตรัยเทพ เพียงครูบาเจ้าตรัยเทพบอกว่า “ไม่ต้องห่วงอะไร” เท่านั้น หลวงปู่จันทาก็หลับตามรณภาพด้วยความสงบ ร่างกายยังอ่อนนิ่มเหมือนคนนอนหลับ เป็นเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาจนถึงวันนี้

หากมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่ แนะนำให้แวะไปกราบนมัสการองค์มหาเจดีย์โพธินาถจำลองแห่งนี้สักครั้ง เพื่อสัมผัสพลังแห่งศรัทธา เมตตา และปัญญาอย่างแท้จริง.

Leave a comment