ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05052151258&srcday=2015-12-15&search=no
| วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613 |
เทคโนฯ การเกษตร
พิงค์บุ๊ก
คืนธรรมชาติให้ “แม่แจ่ม” ที่เชียงใหม่ สวยใสไร้หมอกควัน
“แม่แจ่ม” ในความทรงจำ เป็นอำเภอเล็กๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ การเดินทางมาแม่แจ่มค่อนข้างลำบาก ถนนหนทางคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองลับแลในอ้อมกอดของหุบเขา
แม้การเดินทางจะเหนื่อยยากสักเพียงใด แต่หลายคนก็ตกหลุมรัก “แม่แจ่ม” ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเยือน เพราะแม่แจ่มเป็นเมืองสงบ แวดล้อมไปด้วยขุนเขาป่าไม้ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์
โดยหากมาเยือนช่วงฤดูฝน จะได้เห็นภาพทุ่งนาขั้นบันไดเขียวขจีเต็มท้องทุ่ง
แต่หากมาช่วงปลายฝนต้นหนาว ท้องทุ่งนาจะเปลี่ยนเป็นสีทองเหลืองอร่ามตา เป็นภาพความทรงจำอันงดงามที่น่าประทับใจของใครหลายๆ คน
หุบเขาข้าวโพด ที่แม่แจ่ม
วันเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ แม่แจ่ม ในวันนี้ ไม่ใช่เมืองปิดอีกต่อไป เพราะกระแสทุนนิยมเข้ามาครอบครองการใช้ประโยชน์ในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม ทำให้แม่แจ่มกลายเป็นหุบเขาแห่ง ข้าวโพด (corn valley) ซึ่งพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่เป็นเกษตรแบบพันธสัญญา (contract farming) โดยมีกลุ่มทุนเข้ามาส่งเสริมการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้แก่เกษตรกร ตั้งแต่ ปี 2538 เป็นต้นมา
ข้อจำกัดของการทำเกษตรในอำเภอแม่แจ่มคือ ที่นี่เป็นเขตเขาสูง มีน้ำสำหรับเพาะปลูกเพียงปีละครั้ง เมื่อนายทุนเข้ามาส่งเสริมปลูกข้าวโพดที่ให้ผลผลิตดี ใช้น้ำน้อย ปลูกดูแลง่ายแค่ 3-4 เดือน ก็เก็บผลผลิตออกขายได้แล้ว ที่สำคัญขายผลผลิตได้ราคาดี ชาวบ้านจึงแห่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มากกว่า 100,000 ไร่ หรือ ร้อยละ 80 ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด
หลังฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มักเหลือขยะที่เป็นตอซังและเปลือกข้าวโพดมากกว่า 3,000-5,000 ตัน ต่อปี ขยะทางธรรมชาติเหล่านี้จะถูกเผาทำลายในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับเพาะปลูกข้าวโพดรุ่นต่อไปในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนของทุกปี ซึ่งการเผาไร่ข้าวโพดถือเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ เพราะตรวจพบจุดความร้อน (hot spot) ในพื้นที่อำเภอแม่แจ่มมากกว่าพื้นที่อื่นๆ
คืนธรรมชาติ ให้แม่แจ่ม
ปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ เป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกคนจะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด ล่าสุด คุณปวิณ ชํานิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ สั่งบูรณาการทุกภาคส่วนทั้งจังหวัด พร้อมเซ็นสัญญาความร่วมมือกับ คุณสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันจังหวัดเชียงใหม่อย่างยั่งยืน โดยพุ่งเป้าเน้นหนักในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม อำเภอเชียงดาว และอำเภอสะเมิง ที่มีปัญหาหมอกควันรุนแรง เนื่องจากพบจุดพิกัดความร้อน (hot spot) สูงในปีที่ผ่านมา โดยวางเป้าหมายลดปัญหาหมอกควันลงทั้งจังหวัดอย่างน้อย ร้อยละ 20
ผศ.ดร. สมเกียรติ ชัยพิบูลย์ ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์และพยากรณ์ทางการเกษตร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เปิดเผยว่า โครงการธรรมชาติปลอดภัย เครือเจริญโภคภัณฑ์ในแม่แจ่มเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ ปี 2555 โดยเริ่มจากการ “ระเบิดจากข้างใน” คือรับฟังปัญหาและความต้องการจากชาวบ้าน นำมาสู่การร่วมกันคิดกับชาวบ้านจนตกผลึกว่า ควรจะพัฒนาในเรื่องอะไรเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชน
“น้ำ” คือ คำตอบ
พัฒนาอาชีพชาวบ้าน
“น้ำ” คือคำตอบของการพัฒนาอาชีพของชาวบ้าน โดยมีดอยอินทนนท์เป็นแหล่งต้นน้ำหลักที่ให้น้ำได้ตลอดทั้งปี โครงการธรรมชาติปลอดภัยได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำแก่ชาวบ้าน เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการน้ำสำหรับพัฒนาอาชีพ ภายใต้การดูแลของทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้
“ไม่มีน้ำ ไม่มีอาชีพ” ชาวบ้านได้ร่วมมือร่วมใจกันสร้าง “บ่อพวง” ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ให้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำเพื่อการเกษตรแก่ชุมชน จนถึงวันนี้ มีประมาณ 40 บ่อ รองรับผู้ใช้น้ำได้ราว 300 ครัวเรือน เมื่อมีน้ำแล้ว ขั้นต่อมาของโครงการคือ การสร้างอาชีพ
ที่ผ่านมาชาวบ้านที่นี่ยึดอาชีพการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากเป็นพืชที่ปลูกง่าย ใช้น้ำน้อย แต่เมื่อวันนี้มีแหล่งเก็บกักน้ำ ทำให้สามารถนำน้ำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างทั่วถึงแล้ว ชาวบ้านจึงมีทางเลือกมากขึ้น โดยหันมาปลูกพืชผักอายุสั้น ที่มีตลาดรองรับแน่นอน เช่น กะหล่ำปลี ผักกาด มะเขือ ถั่วฝักยาว ฯลฯ ควบคู่กับการเลี้ยงสัตว์ เช่น หมูหลุม
การเพาะเห็ดฟาง
จาก “ฟางข้าวโพด”
มหาวิทยาลัยแม่โจ้ วางแผนแก้ไขปัญหาการเผาตอซังข้าวโพดได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยสนับสนุนให้โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เป็นศูนย์เรียนรู้และเผยแพร่วิธีการเพาะเห็ดจากเปลือกข้าวโพดให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่ และขยายผล ถ่ายทอดความรู้การปั้นก้อนตอซังข้าวโพดสำหรับเพาะเห็ดให้กับโรงเรียนในอำเภอแม่แจ่มทั้งหมด เพื่อให้แต่ละโรงเรียนนำไปทำต่อ เพื่อช่วยลดปัญหาการกำจัดตอซังข้าวโพดด้วยการเผาให้น้อยลง พร้อมสร้างรายได้ให้กับชุมชนได้อีกทางหนึ่งด้วย
การเพาะเห็ดฟางจากเศษฟางข้าวโพดเป็นเรื่องง่าย ที่ใครๆ ก็ทำได้ เริ่มจากเตรียมวัสดุอุปกรณ์ ได้แก่ ฟางข้าวโพดแห้ง 100 กิโลกรัม ดีเกลือ 20 กิโลกรัม ยิปซัม 20 กรัม ปูนขาว 1 กิโลกรัม รำละเอียด 5-8 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม
ขั้นตอนการปั้นก้อนฟางข้าวโพดสำหรับเพาะเห็ด เด็กนักเรียนจะคัดแยกฟางข้าวโพด 100 กิโลกรัม นำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน หลังจากนั้น จะนำฟางข้าวโพดมากองบนพื้นโดยกระจายให้เท่าๆ กัน นำรำละเอียด กากน้ำตาล ดีเกลือ และยิปซัม โรยให้ทั่วผสมให้เข้ากัน นำถุงพลาสติกทนร้อนมาบรรจุฟางข้าวโพดที่ใช้หมักให้มีน้ำหนักทั้งก้อน ประมาณ 0.8-1 กิโลกรัม นำคอขวดมาสวมทับที่ถุงพลาสติกทนร้อน แล้วปิดทับด้วยจุกประหยัด นำก้อนที่บรรจุถุงไปนึ่ง ใช้เวลานึ่งประมาณ 3 ชั่วโมง โดยประมาณ นำก้อนเห็ดออกจากเตานึ่งแล้วนำมาวางบนพื้นเพื่อให้ก้อนเห็ดเย็น
ขั้นตอนการใส่เชื้อเห็ด เริ่มจากเทเชื้อก้อนเห็ดใส่ก้อนเห็ด (1 ขวดเชื้อเห็ด) จะใส่ได้ประมาณ 40-50 ถุง นำก้อนเห็ดที่ใส่เชื้อเห็ดแล้วนำไปเก็บไว้ในห้องที่มืด เพื่อรอให้เชื้อเดินเต็มถุง ใช้เวลา 25-30 วัน นำก้อนเห็ดมาเปิดดอก
กลุ่มวิสาหกิจชุมชน
เกษตรธรรมชาติปลอดภัย
ปัจจุบัน ชาวบ้านในโครงการได้ร่วมกันจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนขึ้นมา ชื่อว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรธรรมชาติปลอดภัย เพื่อเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายผลผลิต/สินค้าของสมาชิกไปยังผู้บริโภค ปัจจุบันผลผลิตในโครงการ ส่วนใหญ่นำไปจำหน่ายให้กับโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ซึ่งเป็นโรงเรียนกินนอน สำหรับใช้ปรุงเป็นอาหารเลี้ยงเด็กนักเรียน จำนวนกว่า 1,000 คน รวมทั้งส่งจำหน่ายให้กับผู้ค้าในตลาดแม่แจ่มอีกช่องทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลในละแวกใกล้เคียงให้ความสนใจรับซื้อผลผลิตของกลุ่มด้วยเช่นกัน
ทางกลุ่มจึงต้องวางแผนขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นด้วย ในระยะยาวจะส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูก “ลำไย” เป็นไม้ผลหลัก รองลงมาคือ เงาะ และผลไม้อื่นๆ ในระยะยาวจะพัฒนาพื้นที่แห่งนี้เป็น “ชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” โดยก่อสร้างหอคอยเฝ้าระวังไฟไว้ในใจกลางพื้นที่สำหรับใช้เฝ้าระวังไฟป่า แล้วยังใช้เป็นจุดท่องเที่ยวชมทัศนียภาพที่สวยงามของอำเภอแม่แจ่มในอนาคต