ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05073151258&srcday=2015-12-15&search=no
| วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613 |
หมอเกษตร ทองกวาว
ตื่นตาตื่นใจ ที่ไวสาลี และ กุสินารา
พักที่วัดไทยนาลันทา 1 คืน รุ่งเช้าหลังจากปฏิบัติภารกิจต่างๆ รวมทั้งทำบุญตักบาตรที่วัดจนเป็นที่เรียบร้อย ได้เวลาเดินทางต่อไปยังเมือง ไวสาลี ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นวัชชี ของชมพูทวีป ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า ไพสาลี ณ ที่นี้ พระพุทธเจ้าเสด็จมาครั้งแรกเมื่อพรรษาที่ 5 ระหว่างการเดินทาง มีการหยุดแวะพักรับประทานอาหารว่าง และเข้าห้องน้ำห้องท่า ที่วัดไทยกำลังก่อสร้างอีก 2 แห่ง กว่าจะถึงไวสาลี ก็เป็นเวลาบ่ายคล้อย จุดหมายแรกที่ไปคือ พระราชวังของพระเจ้าอโศกมหาราช มีซากสิ่งก่อสร้างเหลือไว้ให้เห็น เป็นเนินสูงขนาดใหญ่ ก่อด้วยอิฐ เหลือเป็นรูปทรงหลังเต่า มีกำแพงเมือง และคูน้ำล้อมรอบ มีการขุดพบประตูเมืองโบราณ ล้อรถของนักรบ พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นกษัตริย์ครองราชที่เมืองปาฎลีบุตร พระองค์ทรงเป็นนักรบที่เก่งกล้า กรำศึกษามายาวนานหลายปี ส่งผลให้พระองค์รู้สึกรุ่มร้อนและไม่สบายพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ประทับอยู่ในพระราชวังบนที่สูง ได้ทอดพระเนตรเห็นเณรน้อยรูปหนึ่ง มีนามว่า นิโครธ ท่าทางเดินสงบเสงี่ยม สำรวมกริยา ใบหน้าอิ่มเอิบ เป็นสง่าน่าเลื่อมใส จึงให้เสนาบดีนิมนต์เณรน้อยเข้ามาในพระราชวัง แล้วสอบถามว่า ท่านเป็นใคร เหตุใดจึงมีอาการสำรวมและมีใบหน้าแจ่มใสยิ่งนัก เณรน้อยตอบพระองค์ไปว่า ข้าพเจ้าเป็นสามเณร บวชเรียนในพระพุทธศาสนา และได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ ละเว้นการทำความชั่ว ทำแต่ความดี และทำจิตใจให้ผ่องใสเบิกบาน เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชได้สดับฟัง ด้วยคำสอนของพระพุทธองค์เพียงประโยคสั้นๆ แต่สามารถทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชเกิดความศรัทธาอย่างแรงกล้า ต่อมาทรงประกาศตนเป็นพุทธมามกะโดยสมบูรณ์ ต่อมาทรงทำนุบำรุงพระศาสนาด้วยการพระราชทานทรัพย์สินจำนวนมาก เพื่อสร้างสถูปเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชา รวม 84,000 แห่ง ทุกแห่งมีการประดับเสาหิน ทรายสีแดงอมชมพู ความสูงเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 20 เมตร น้ำหนัก ประมาณ 50 ตัน เป็นเสากลม ยอดประดับด้วยสิงห์ ในท่านั่งบนแท่นสี่เหลี่ยม วางทับบนหัวเสา รองรับด้วยบัวคว่ำที่สลักเสลาไว้อย่างสวยงาม จำนวน 84,000 ตัน เท่ากัน ปัจจุบัน รัฐบาลอินเดียได้นำเอารูปสิงห์บนยอดเสามาเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2492 เป็นต้นมา เสาหินรูปสิงห์ เรียกขานกันว่า เสาอโศก หรือ เสาพระเจ้าอโศก เลือกใช้ตามความเหมาะสม ช่วงเวลาสำคัญของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่มีพระชนม์ชีพอยู่ระหว่าง ปี พ.ศ. 220-300 แต่ยังมีหลายตำราที่ยังขัดแย้งกันอยู่
แห่งที่สอง ปาวาลเจดีย์ เป็นสถานที่ปลงสังขารของพระพุทธเจ้า เจดีย์นี้ เหลือเพียงส่วนฐานและรูปปริศนาไว้ให้ปรากฏ ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่นี่ วันหนึ่ง นายจุนทะ นิมนต์พระองค์ไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตน นายจุนทะได้ถวายอาหารที่มีชื่อว่า สูกรมัททวะ นามนี้มีการถกเถียงกันมาก แต่ท้ายที่สุด สรุปว่าเป็นอาหารที่ปรุงจากเห็ดชนิดหนึ่ง ที่เป็นผลให้พระพุทธองค์ประชวร ถึงกับ ทรงพระบังคนหนัก ออกมาเป็นโลหิต แม้พระองค์ประชวรอย่างหนักก็ตาม ก็ยังทรงปฏิบัติภารกิจของพระองค์อย่างสม่ำเสมอ และเตรียมพร้อมเข้าสู่การเสด็จดับขันธ์ ปรินิพพาน ในวันเพ็ญเดือนมาฆะ หรือเดือน 3 หรืออีก 3 เดือน ถัดไป พระองค์ทรงหยั่งรู้ด้วยพระองค์เอง วันนี้คณะเข้าพักค้างคืนที่วัดไทยไวสาลี
ตอนสายของวันรุ่งขึ้น เดินทางต่อไปยังเมือง กุสินารา ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 4 ชั่วโมง ขึ้นเหนือ ใกล้เขตแดนประเทศเนปาลเข้าไปทุกที กุสินารา มีหลายชื่อ กุสินศรี กุสิคราม และ กุสินคร ส่วน กุสินารา ออกเสียงตามภาษาบาลี กุสินารา เป็นที่ตั้งของ วิหารสาลวโนทยาน เป็นสถานที่ดับขันธ์ ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า มีรูปทรงคล้ายระฆังคว่ำ ปลายยอดมีฉัตรซ้อนกัน 5 ชั้น ทาด้วยสีเหลือง มีอาคารแฝดสร้างประชิดกัน หลังคาของอาคารทรงกระบอกวางในแนวนอน มีหน้าจั่ว 4 ทิศ เป็นวงกลม มีซี่ลูกกรงเป็นตาหมากรุก 4 เส้น เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ แกะสลักจากหินแกรนิต ปางปรินิพพาน ด้วยอาการหลับพระเนตร พระพักตร์อูม เศียรซ้อนทับฝ่าพระหัตถ์ขวา พระหัตถ์ซ้ายวางเรียบตามพระวรกาย พระบาทอวบอูม พระพรรณรังสีไม่เปล่งปลั่ง แสดงให้เห็นว่าทรงปรินิพพาน เสด็จเข้าสู่ความดับสนิทอันเป็นนิรันดร์ รวมเวลาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ เป็นเวลา 45 พรรษา ในโอกาสนี้ ทุกคนในคณะเดินทางนั่งสวดมนต์ และนั่งสงบนิ่งรอบพระพุทธรูปเป็นเวลานานพอสมควร จึงรวมพลออกเดินทางต่อไปยัง มกุฎพันธนเจดีย์ เป็นที่ประชุมเพลิงของพระพุทธเจ้า ห่างจากวิหารสาลวโนทยาน เพียง 1 กิโลเมตรเศษ เท่านั้น ยังคงมีซากฐานเจดีย์ขนาดใหญ่เหลือไว้ให้พุทธศาสนิกชนไปกราบไหว้บูชา ใช้เวลาอยู่นานจนเกือบพลบค่ำจึงกราบลา วันนี้พักค้างแรมที่วัดไทยกุสินารา
การเดินทางไปถึงสถานที่สำคัญของพระพุทธศาสนาทุกแห่ง ทางคณะเดินทางจะพร้อมใจกันนั่งสวดมนต์ และทำสมาธิ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีพระวิทยากร ที่ท่านเดินทางมาศึกษาระดับปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยพารานาสี ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนตามความเหมาะสม และนำสวดมนต์ทุกครั้งไป ผมจึงขอนำบุญในส่วนนี้มาฝากผู้อ่านทุกท่าน
พูดถึงคนอินเดียแล้ว ส่วนใหญ่เป็นสังคมที่อยู่ง่าย กินง่าย และตายอย่างง่าย เริ่มจากที่อยู่ บ้านสร้างอย่างง่ายๆ หลังคาหน้าจั่วไม่มี เทเป็นพื้นเรียบ เพื่อใช้ตากฟางข้าว ไม้ฟืน หรือแม้แต่เสื้อผ้า อาหารการกินก็ง่าย จาปาตีกับแกงกะหรี่แขก พอเพียงแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือ ชาข้นใส่นมสดในแก้วใบเล็ก ขนาดตวงเหล้า 1 เป๊ก ของบ้านเรา คนไทยเรียกว่า กำลังใจ แขกก็ออกเสียงพ้องกัน ส่วนเรื่องตาย ถือเป็นเรื่องธรรมดา ศพจะห่อหุ้มด้วยผ้าสีเหลืองแนบกาย ผูกเป็นเปราะกับแคร่ไม้เท่ากับศพ มีคานหาม 4-6 คน ขณะแห่เป็นขบวน เหนื่อยเมื่อไร หรือรถติดมากๆ จะวางศพลงบนถนน คนมีสตางค์จะนำไปเผาที่ริมแม่น้ำคงคา
ครั้งต่อไป ผมจะนำภาพเผาศพมาให้ชมกัน ส่วนชาวบ้านทั่วไปมักนิยมนำไปเผาตามริมแม่น้ำ ลำคลอง ใกล้บ้าน ความง่ายๆ นี้เอง ที่ทำให้คนอินเดีย จำนวน 1,200 ล้านคน สามาถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสบายๆ