ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05046151258&srcday=2015-12-15&search=no
| วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613 |
เก็บมาเล่า
ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ
ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ปรับตัวให้อยู่รอด ได้อย่างไร?
ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ที่อยู่ในภาวะชะลอตัว จากปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ แม้รัฐบาลจะพยายามเร่งแก้ไขอย่างเต็มที่ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในภาคเกษตร นั้นมีอยู่อย่างมากมาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการดำรงชีวิต จึงทำให้มีคำถามตามมาว่า แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรให้สามารถอยู่ได้?
ในขณะที่กำลังช่วยค้นหาคำตอบจากคำถามดังกล่าว พอดีได้รับข่าวสารเผยแพร่ที่น่าสนใจจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หรือ สศก. ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่าสนใจในการนำเสนอทางออกให้กับเกษตรกร โดยมีถึง 8 แนวทาง ที่เกษตรกรสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน
แต่ก่อนจะเข้าเรื่องราวดังกล่าว ยังมีผลการศึกษาที่น่าสนใจจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โดยเป็นหน่วยงานในสังกัด คือ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 9 สงขลา (สศท.9) ที่นำเสนอผลการศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับการปรับตัวของเกษตรกรยางพาราท่ามกลางวิกฤตราคายางพาราตกต่ำในจังหวัดสงขลา
ทั้งนี้ คุณพลเชษฐ์ ตราโช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 9 สงขลา (สศท.9) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ได้เปิดเผยถึงผลการศึกษาการปรับตัวของเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราท่ามกลางวิกฤตราคายางพาราตกต่ำในจังหวัดสงขลา ปี 2558 ว่าหลังจากที่ราคายางพาราตกต่ำมาอย่างต่อเนื่อง เกษตรกรชาวสวนยางของจังหวัดสงขลาซึ่งมีพื้นที่ปลูก (ข้อมูล ปี 2557) จำนวน 2,066,960 ไร่ พื้นที่กรีด 1,665,037 ไร่ ผลผลิตรวมทั้งจังหวัดมีปริมาณ 501,008 ตัน และมีผลผลิตต่อไร่ 290 กิโลกรัม
โดยผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรชาวสวนยางพาราได้ปรับตัวเพื่อการอยู่รอดในสถานการณ์วิกฤตราคายางพาราตกต่ำใน 4 ด้าน ดังนี้
ด้านที่ 1 การลดรายจ่ายในภาคการเกษตร เกษตรกรชาวสวนยาง ร้อยละ 73 มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการลดรายจ่ายในภาคเกษตรของชาวสวนยาง โดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในเรื่องการใช้ปุ๋ย คือเกษตรกร ร้อยละ 14 จะงดการใส่ปุ๋ยในปีนี้ และร้อยละ 12 ใส่ปุ๋ยในปริมาณที่ลดลง โดยเกษตรกร ร้อยละ 46 ปรับเปลี่ยนชนิดของปุ๋ย จากปุ๋ยเคมีเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยเคมีผสมอินทรีย์ หรือเปลี่ยนการซื้อปุ๋ยจากยี่ห้อที่มีราคาแพงไปซื้อยี่ห้อที่มีราคาถูกกว่า และเกษตรกร ร้อยละ 27 ไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในด้านการลดรายจ่ายในภาคเกษตร
ด้านที่ 2 การเพิ่มรายได้ในภาคการเกษตร เกษตรกรชาวสวนยาง ร้อยละ 34 มีการปรับตัวในด้านการเพิ่มรายได้ในภาคการเกษตร เช่น การรับจ้างกรีดยางพารา ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น เฉลี่ยครัวเรือนละ 26,600 บาท ต่อปี การปลูกพืชร่วมกับยางพาราเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น ครัวเรือนละ 10,194 บาท ต่อปี การเลี้ยงสัตว์เพื่อเพิ่มรายได้ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น ครัวเรือนละ 5,595 บาท ต่อปี โดยเกษตรกร ร้อยละ 66 ไม่ได้มีการปรับตัวหรือไม่เพิ่มกิจกรรมในด้านการเพิ่มรายได้ในภาคการเกษตร
ด้านที่ 3 การลดรายจ่ายนอกภาคเกษตร เกษตรกรชาวสวนยาง ร้อยละ 91 มีการปรับตัวโดยการลดรายจ่ายนอกภาคเกษตรที่สำคัญคือ รายจ่ายที่ใช้ในการบริโภคในครัวเรือน เช่น ลดรายจ่ายในด้านการบริโภคสินค้าที่ไม่จำเป็นลง เฉลี่ยครัวเรือนละ 8,331 บาท ต่อปี และลดรายจ่ายด้านจัดซื้อเครื่องอุปโภคลง เฉลี่ยครัวเรือนละ 2,864 บาท ต่อปี ในขณะที่เกษตรกร ร้อยละ 9 ไม่สามารถลดรายจ่ายด้านบริโภคและอุปโภคลงได้
ด้านที่ 4 การเพิ่มรายได้นอกภาคเกษตร เกษตรกรชาวสวนยาง ร้อยละ 25 ประกอบอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้นอกภาคเกษตร ได้แก่ อาชีพรับจ้างทั่วไป ขายของตลาดนัด และรับเหมาก่อสร้าง ทำให้มีรายได้จากอาชีพเสริม เฉลี่ยครัวเรือนละ 73,250 บาท ต่อปี โดยเกษตรกร ร้อยละ 75 ไม่มีการปรับตัวในด้านการเพิ่มรายได้นอกภาคเกษตร
“อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการปลูกยางพาราในอนาคตพบว่า เกษตรกรยังคงปลูกยางพาราเหมือนเดิม แต่จะมีการหาพันธุ์ยางพาราที่ให้ผลผลิตสูงปลูกทดแทนยางพาราพันธุ์เดิม เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเหมาะสมกับการปลูกยางพาราและความถนัดของเกษตรกร แต่ความคาดหวังให้บุตรหลานมาทำการเกษตรนั้น เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่คาดหวังให้บุตรหลานมาทำการเกษตร สืบเนื่องจากราคาของผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ไม่แน่นอน และต้องการให้บุตรหลานได้ทำงานในด้านอื่นมากกว่า” คุณพลเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย
จากการอยู่ให้รอดของเกษตรกรจากผลการศึกษาดังกล่าว คงทำให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า เกษตรกรไทยนั้นเป็นนักสู้ แต่จะสู้และรอดได้อย่างไรต่อไปในอนาคต คราวนี้มาดูผลบทวิเคราะห์สู่การปรับโครงสร้างในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ชี้ว่า ส่วนของภาคเกษตรจะต้องปรับโครงสร้างภาคเกษตรอย่างเร่งด่วน โดยการดำเนินการประกอบด้วย 8 ด้านสำคัญ คือ
หนึ่ง เน้นโครงการร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน (Public Private Partnership : PPP) ให้มากขึ้น เนื่องจากแต่เดิมโครงการความร่วมมือในลักษณะนี้จะเป็นไปเพื่อการดำเนินการในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจ็กต์ (mega project) ดังนั้น จึงควรขยับขยายไปสู่โครงการขนาดที่เล็กลงมาถึงระดับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs เพื่อให้เกิดการร่วมมือ
สอง เน้นการพึ่งพาตนเอง (Self Sufficient) ให้มากขึ้น จะเห็นได้ว่าประเทศไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรบางชนิด เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด และพืชอื่นๆ อีกหลายชนิด ดังนั้น จึงควรเร่งพัฒนาผลิตสินค้าเกษตรเพื่อสามารถทดแทนการนำเข้า เช่น ส่งเสริมการปลูกถั่วเหลือง ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย สุโขทัย แพร่ แม่ฮ่องสอน และอื่นๆ ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พื้นที่จังหวัดนครราชสีมา สระบุรี ลพบุรี และอื่นๆ เป็นต้น หรือพัฒนาพันธุ์ให้สามารถให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรคและแมลง
สาม เน้นพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรปลายน้ำ โดยเน้นการแปรรูปสินค้าเกษตร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (value added) เช่น การคัดแยกเกรดสินค้า การสร้างเรื่องราวให้กับสินค้า (history) เน้นการค้นคว้าวิจัยเพื่อรองรับสรรพคุณเพื่อสุขภาพ รวมถึงพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้มีความน่าสนใจมากขึ้น กำหนดตำแหน่งทางการตลาดที่ชัดเจน เป็นต้น เพื่อเป็นการยกระดับสินค้าให้มีความพิเศษมากกว่าสินค้าทั่วไป (blue ocean strategy) เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ๆ ให้มากขึ้น
สี่ เน้นผลักดันส่งเสริมเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเกษตรรูปแบบใหม่ๆ รวมถึงเทคโนโลยีที่ได้รับการวิจัยแล้วว่าได้ผลนำไปสู่การประยุกต์ใช้ที่แท้จริง เช่น นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีชีวภาพ อย่างการทำการเกษตรภายในอาคาร (indoor) การเกษตรกลางแจ้งรูปแบบใหม่ (outdoor) ที่อาศัย drone เครื่องจักรสมัยใหม่ ทดแทนแรงงานคนที่มีแนวโน้มอายุเพิ่มมากขึ้น การผลิตปุ๋ยอินทรีย์เคมีนาโนอัดเม็ดแบบละลายช้า ซึ่งขณะนี้ สวทช. ได้ดำเนินการวิจัยและกำลังอยู่ในระหว่างการขยายผลให้กว้างขวางขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าปุ๋ยดังกล่าวได้ หรือมุ้งกันยุงที่มีการเคลือบสารฆ่าแมลง โดยใช้เทคโนโลยีนาโน วัสดุปรับปรุงดินจากผักตบชวา โดยใช้เทคโนโลยีเร่งให้เกิดการย่อยสลายผักตบชวาได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเตรียมขยายผลไปสู่ระดับอุตสาหกรรม เป็นต้น
ห้า เน้นส่งเสริมการปลูกพืชรองแซมพืชหลัก กรณีเกษตรกรผู้ปลูกไม้ยืนต้น เช่น ยางพารา ที่กินระยะเวลาดังกล่าวนานถึง 7 ปี ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้มีการปลูกพืชแซม เช่น พืชล้มลุกทั้งหลายก่อนที่ยางพาราจะให้ผลผลิต เช่น พริกไทย แตงโม ถั่วต่างๆ หรือสับปะรด เพื่อเป็นการเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกร
หก เน้นส่งเสริมการปลูกพืชแบบหลายชนิด (multiple cropping) หรือการปลูกพืชมากกว่า 1 ชนิด ขึ้นไป ในพื้นที่เดียวกันในรอบปี เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงด้านรายได้และราคา อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มรายได้ต่อหน่วยพื้นที่และเป็นการสร้างสมดุลทางสิ่งแวดล้อมด้วย
เจ็ด เน้นสินค้าเกษตรสำหรับการบริโภคภายในประเทศให้เพียงพอมากขึ้น นอกจากเพื่อเป็นการลดการนำเข้าแล้วยังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและความมั่นคงทางด้านอาหารสำหรับประชากรในประเทศ รวมถึงการปกป้องสินค้าเกษตรภายในประเทศ ไม่ให้สินค้าเกษตรจากต่างประเทศเข้ามาโจมตีตลาดสินค้าไทยได้ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศไทย เช่น การผลิตกล้วย พืชผักต่างๆ ให้เพียงพอกับการบริโภคภายในประเทศ เพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวให้สามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น
แปด เน้นสินค้าเกษตรเข้าสู่ยุค “คุณภาพและคุณธรรม” โดยเกษตรกรผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ผู้ผลิตหรือผู้แปรรูปต้องรับซื้อผลผลิตอย่างมีคุณธรรม เพื่อนำไปแปรรูปได้สินค้าที่มีคุณภาพ โดยไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ จนทำให้มีปัญหาในการขับเคลื่อน Value Chain เช่น การผลิตข้าวปลอดภัย (GAP) ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน และมีคุณภาพ ทำให้ผู้ผลิตเกิดความเชื่อมั่นที่จะรับซื้อในราคาที่สูงกว่าข้าวทั่วไป
ทั้งนี้หมดนี้ คืออีกหนึ่งมุมมอง ที่เป็นข้อแนะนำของการอยู่อย่างไรให้รอดในช่วงภาวการณ์แบบนี้…ของเกษตรกรไทย