มอบ ไม้ดอกไม้ประดับ เป็นของขวัญแทนใจ ในวันปีใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05034151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

ไม้ดอกไม้ประดับ

สุรเดช สดคมขำ

มอบ ไม้ดอกไม้ประดับ เป็นของขวัญแทนใจ ในวันปีใหม่

ไม้ดอกไม้ประดับ หมายถึง พันธุ์ไม้ที่มีลักษณะ รูปร่างของลำต้น กิ่ง ก้าน ดอก ที่มีสีสันสวยงาม สามารถนำไปประดับตกแต่ง ทั้งภายในและภายนอกตามบ้านเรือน เพื่อให้มีความร่มรื่นน่าอยู่มากขึ้น

ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ โดยเฉพาะคนเมือง นับวันยิ่งห่างไกลจากธรรมชาติมากขึ้นทุกขณะ ไม้ดอกไม้ประดับจึงถือได้ว่ามีความสำคัญ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม เพราะมีแหล่งผลิตอยู่ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ ทำให้ผู้ปลูกสามารถประกอบเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม สร้างรายได้ให้กับครอบครัว จึงมีการผลิตไม้ดอกไม้ประดับจำหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ เป็นการนำเงินตราเข้าประเทศปีละหลายพันล้านบาท

ปัจจุบัน มีการเพาะและผสมพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ ให้เป็นที่ถูกตาต้องใจของผู้ซื้อมากขึ้น สายพันธุ์ใหม่ที่ได้รับการผสม นำมาตั้งชื่อใหม่ให้มีความเป็นมงคล เพื่อดึงดูดใจสำหรับคนที่มีความนิยมชมชอบไม้มงคล เพื่อนำมาประดับบ้านเรือนตามความเชื่อที่สืบทอดต่อๆ กันมา

ไม้ดอกไม้ประดับเป็นสิ่งจรรโลงใจให้แก่ผู้ปลูกได้รับความสุข ความเพลิดเพลิน ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ทำให้สุขภาพทางจิตใจมีความสุข สดชื่น ผ่อนคลายความเครียด พร้อมทั้งช่วยให้ผู้พบเห็นมีความสุขกาย สุขใจ เจริญตาเมื่อมองพักสายตา

ในปักษ์นี้ จึงอยากจะชวนผู้อ่านทุกท่าน ที่กำลังมองหาของขวัญมอบให้กับคนที่เคารพรัก หรือเพื่อน ญาติ พี่น้อง ขอให้มามอบไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อเป็นสิ่งแทนใจให้แก่กัน ในช่วงปีใหม่ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ เพราะอย่างน้อยผู้รับ ยังสามารถมองเห็นพรรณไม้เหล่านั้นเจริญเติบโต จากการดูแลเอาใจใส่ของตนเอง และทุกครั้งที่เห็นพรรณไม้ ผู้รับยังสามารถนึกถึงหน้าผู้ให้ได้อีกด้วย ผู้ที่จะมอบความรู้ในหัวข้อต่างๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์ และสามารถนำไปใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ ได้รับเกียรติจาก คุณทวีพงศ์ สุวรรณโร ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมไม้ดอกและไม้ประดับ สำนักส่งเสริมการเกษตรและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร มาอธิบายในหัวข้อต่างๆ ให้ดังนี้

ทำไม ถึงให้ดอกไม้

เป็นของขวัญเนื่องในวันปีใหม่

คุณทวีพงศ์ อธิบายว่า การให้ของขวัญ ทั้งวันปีใหม่และเทศกาลในโอกาสต่างๆ นั้น ในสมัยก่อนจะให้สิ่งของ เช่น อาหาร น้ำผลไม้ ฯลฯ ต่อมามีการห่วงเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น จึงมอบของขวัญที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ คนทั่วไปอาจจะไม่ค่อยนิยมให้ดอกไม้หรือไม้ประดับเป็นของขวัญ ส่วนใหญ่จะมอบให้กันในวันรับปริญญา หรืองานแต่งงานเท่านั้น

แต่ปัจจุบันมีการให้ไม้ดอกไม้ประดับเป็นของขวัญมากขึ้น เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะคนเมือง นับวันจะยิ่งห่างไกลธรรมชาติค่อนข้างมาก จึงนิยมให้ไม้ดอกไม้ประดับเพื่อเป็นสิ่งทดแทนธรรมชาติ ที่นับวันจะลดลงเต็มที

“ถ้าเราใช้ไม้ดอกไม้ประดับ ก็เหมือนเราอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ยิ่งคนอยู่ตามออฟฟิศต่างๆ นี่ ยิ่งไม่ค่อยได้เห็นต้นไม้ ซึ่งโอกาสที่จะเห็นในห้องคงน้อย ทำให้ปัจจุบัน จึงนิยมมาให้เป็นของขวัญมากขึ้น และที่สำคัญยังมีความสวยงาม ผู้รับสามารถนำไปจัดตกแต่ง วางในตำแหน่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือนอกบ้าน ต่อมาไม่ได้มองด้วยความสวยอย่างเดียวแล้ว แต่มีประโยชน์ด้วย ช่วยสร้างออกซิเจน ทำให้อากาศดีขึ้น อีกทั้งยังมีงานวิจัย เมื่อหลายปีรับรองออกมาด้วยว่า ไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิดสามารถลดสารพิษได้ เพราะสารพิษเหล่านั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ สารพิษมีอยู่ได้ตามในห้อง บ้านเรือนของเราเอง เช่น สีจากเฟอร์นิเจอร์ ตามผนัง ที่ระเหยออกมา แม้ปริมาณไม่มาก แต่ถ้าสะสมนานๆ ไป ก็มีผลต่อสุขภาพ ฉะนั้น จะเห็นว่าไม่ได้สวยงามอย่างเดียว ยังมีประโยชน์ ทำให้ปัจจุบันมีคนนิยมมาให้ไม้ดอกไม้ประดับเป็นของขวัญเยอะมากขึ้น” คุณทวีพงศ์ กล่าวถึงประโยชน์ของการมอบไม้ดอกไม้ประดับเป็นของขวัญ

ชนิด และพันธุ์

ของไม้ดอกไม้ประดับ

ที่นิยมให้เป็นของขวัญ

เนื่องจากไม้ดอกไม้ประดับในเมืองไทย มีมากมายหลากหลายสายพันธุ์ ในแต่ละช่วงจะมีการปลูกและความนิยมแตกต่างกันไป ทำให้มีการพัฒนาสายพันธุ์มากขึ้น เพื่อให้มีสีสวยสดใส คงทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี ทำให้ในแต่ละปีของประเทศไทยมีพรรณไม้ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ

“ไม้ดอกไม้ประดับมีค่อนข้างหลากหลาย ผู้ที่จะมอบดอกไม้ให้กับผู้รับนั้น ส่วนมากจะรู้รสนิยม ความชอบของผู้รับ ว่าชอบอะไร สีไหนอย่างไร ไม้ดอกไม้ประดับมีมากมายหลายกลุ่ม ไม้ดอก ไม้ต้น และก็ไม้ดอกกระถาง เช่น โป๊ยเซียน หน้าวัว โดยทั่วไปพืชพวกนี้ต้องการแสง ไม่นานดอกก็หายไป แต่ต้นยังสามารถนำมาปลูก เพื่อให้ออกดอกต่อไปได้ ส่วนด้านไม้ใบ เป็นไม้ที่ทนหน่อย เหมาะสมที่จะนำมาวางไว้ภายในอาคาร เพราะอยู่ได้นาน อยู่ที่ความชอบของผู้รับ ซึ่งผู้ให้จะสามารถเลือกได้หลากหลาย และเข้ากับคนที่เราจะให้ ไม่ตายตัวมีให้เลือกมากมายหลายแบบ เราก็ต้องเลือกให้เข้ากับคนที่เราจะให้” คุณทวีพงศ์ กล่าว

รูปแบบการจัด

และการเลือกที่เป็นสื่อแทนใจ

คุณทวีพงศ์ เล่าว่า สมัยก่อนที่นิยมมากที่สุดคือ การให้ดอกไม้เป็นของขวัญมากกว่าต้นไม้ จึงจัดดอกไม้ลงในแจกัน กระถาง หรือเป็นช่อบูเก้ และกระเช้าดอกไม้สวยๆ แต่เนื่องจากดอกไม้ยังมีข้อจำกัด เพราะอายุการเก็บรักษาอยู่ได้ไม่นานเท่าที่ควร ต่อมาจึงนิยมให้ต้นไม้มากขึ้น เพื่อให้มีอายุของดอกยาวนานขึ้น

“สมัยก่อนนี้ จะเน้นที่ให้แต่ดอกไม้ ก็จะเป็นการจัดเป็นช่อ หรือว่าจะใส่แจกัน แต่ตอนนี้ก็ให้เป็นต้นมากขึ้น ก็เลยไม่ต้องเน้นการตกแต่งมาก อย่างดีก็แค่ห่อด้วยกระดาษของขวัญ ผูกโบส่งให้เลย ก็ง่ายและสะดวก ไม่ยุ่งยากในการจัดมากนัก ความนิยม ที่ชอบให้กันก็จะอยู่ที่ความเชื่อ อาจไม่ได้เน้นที่ความสวยงามเพียงอย่างเดียว จะเน้นที่ความเชื่อด้วย เช่น โป๊ยเซียน ถ้าออก 8 ดอก นี่จะถือว่าจะโชคดี หลังๆ มาก็จะตั้งชื่อ ไม้ต่างๆ ให้เป็นมงคลมากขึ้น เช่น วาสนา หยกนำโชค ทำให้คนที่ปลูก ก็ได้หวังทางจิตวิทยาเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น มีโชคลาภ ไม้อื่นๆ เช่น ต้นหยก ก็มีตั้งชื่อให้ดูดี ตามความเชื่อนั้นๆ จึงทำให้คนซื้อนิยมมากขึ้น” คุณทวีพงศ์ กล่าวด้วยใบหน้าที่นึกถึงช่วงยุคสมัยที่มีความนิยมแตกต่างกันไป

แหล่งที่จำหน่าย ควรเลือกซื้อที่ไหน

คุณทวีพงศ์ เล่าว่า ปัจจุบันร้านจำหน่ายไม้ดอกไม้ประดับมีการพัฒนามากขึ้น โดยเปิดเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต สำหรับขายด้านนี้โดยเฉพาะ ทำให้ผู้ซื้อสามารถเลือกพรรณไม้ที่ดีมีคุณภาพ เพราะถือว่าเป็นแหล่งที่เชื่อถือได้ พร้อมทั้งบริการห่อเป็นของขวัญ และมีการจัดแบบพิเศษตามเทศกาล หรือตามที่ลูกค้าต้องการ พรรณไม้ที่นำมาขายเป็นพรรณไม้ใหม่ๆ เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับลูกค้า ทำให้สามารถเลือกซื้อได้ตามที่ต้องการ ซึ่งไม้ที่แปลกใหม่อาจมีราคาที่แพงสักเล็กน้อย แต่ผู้ซื้อต้องทำความเข้าใจด้วยว่า เป็นของแปลกใหม่ เพื่อเป็นการส่งเสริมเกษตรกรให้มีความภาคภูมิใจ และคุ้มค่ากับการเสียเวลากับความตั้งใจทำพันธุ์ใหม่ขึ้นมา ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศ ที่สามารถนำเงินตราเข้าประเทศปีละหลายพันล้านบาท ส่งผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น

“แหล่งที่ซื้อไม้ดอกไม้ประดับ สำหรับคนที่มีเวลา ก็จะมีแหล่งใหญ่ๆ ถ้าจะเอาไม้ดอก ก็ปากคลองตลาด ถ้าเป็นไม้กระถางต่างๆ ก็ต้องที่ตลาดจตุจักร ซึ่งทุกวันพุธ พฤหัสบดี ก็จะมีไม้มาขาย เพราะที่เหล่านี้เป็นแหล่งใหญ่ ส่วนใครที่อยู่ต่างจังหวัด ก็ลองหาตามแหล่งใกล้บ้าน ทำให้เรามีโอกาสเลือก ทำให้ซื้อได้ถูกลง แต่ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็ดูตามความเหมาะสม เพราะบางทีอาจจะไม่แพงกว่ากันเท่าไหร่นัก แต่มีของให้เลือกน้อยกว่า ซึ่งดูได้ตามความพอใจเรา ส่วนงานที่มีการจัดนิทรรศการไม้แปลกๆ อันนี้ก็น่าไป โดยเฉพาะที่ สวนหลวง ร. 9 มีการจัดงานกันทุกปี ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้ได้ดูของใหม่ๆ มากขึ้น รวมทั้งซื้อของใหม่ๆ มามอบให้แก่กันด้วย” คุณทวีพงศ์ กล่าวแนะนำ

ผู้ประกอบการ

ควรเตรียมตัวอย่างไร

เมื่อเทศกาล หรือวันสำคัญต่างๆ มาถึง ด้านผู้ประกอบการเองต้องมีการเตรียมความพร้อม เพื่อให้ไม้ดอกไม้ประดับมีทันจำหน่าย หากพลาดโอกาสนาทีทองเหล่านี้ไป อาจจะต้องรอเวลานานไปอีกเป็นแรมปี จนกว่าโอกาสในช่วงปีใหม่หรือเทศกาลนั้นจะมาถึง

“ในแง่ผู้ประกอบการเอง หรือแม้แต่ผู้ปลูก ก็จะมีการเก็งกำไรตลาดด้วย ก็จะมีการวางแผนการผลิต เพราะไม้ดอกสามารถกำหนดระยะเวลาได้ ว่าใช้เวลาปลูกลงกระถางกี่เดือน ถึงเวลาก็จะออกดอก เพื่อพร้อมขาย เขาจะมีวันนับย้อนหลัง แต่ก็จะอยู่ที่ชนิดของพรรณไม้ โดยเฉพาะไม้ดอกกระถาง ต้องมีการจัดการที่ดี เพื่อไม่ให้ออกดอกไวเกินไป เพราะหากหมดเทศกาลแล้ว หรือออกดอกก่อนเทศกาลมาถึง ก็ทำให้ขายไม่ได้ สิ่งจำเป็นคือต้องศึกษา ว่าไม้แต่ละชนิด ใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ รวมทั้งการบำรุงรักษาด้วยครับ เพราะของที่มอบเป็นของขวัญ เรื่องคุณภาพนี่สำคัญ ดอกสวย แต่ใบเป็นโรค ก็ไม่ได้ คือทุกอย่างต้องสมบูรณ์ จึงอยากฝากผู้ประกอบการเรื่องนี้ด้วย เพราะการซื้อขายอยู่ที่ความพอใจ มีตำหนินิดหน่อยก็ทำให้ราคาตกได้ คนไม่อยากได้” คุณทวีพงศ์ กล่าวพร้อมทั้งหัวเราะเล็กน้อย

การขนส่ง ควรทำอย่างไร

เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด

คุณทวีพงศ์ อธิบายว่า สำหรับผู้ประกอบการ ช่วงขนส่งจะมีอยู่ช่วงเดียวคือ ช่วงจากสวนไปยังร้านจำหน่าย ซึ่งวิธีการเหล่านี้ในบ้านเราอาจจะยังทันสมัยสู้ต่างประเทศไม่ได้ เพราะอยู่ที่ต้นทุน และความพร้อมของยานพาหนะขนส่ง แต่ต่างประเทศค่อนข้างมีมาตรฐาน แต่ปัจจุบันเพื่อให้ความเสียหายลดน้อยลง บางร้านยอมลงทุนเพื่อให้มีการขนส่งที่ดีขึ้น โดยรถขนส่งเป็นแบบมีถาดรอง พร้อมทั้งจัดวางอย่างมีระเบียบ ทำให้เกิดความบอบช้ำน้อยลง เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ขึ้นชื่อเรื่องดอกไม้ ก็มีการขนส่งที่มีมาตรฐาน ซึ่งไทยเองยังมีจำนวนน้อย ที่ขนส่งในลักษณะนี้ คุณทวีพงศ์แนะนำว่า หากทำแบบนั้นต้นทุนสูง สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการนำกระดาษหนังสือพิมพ์ห่อต้นไม้ เพื่อให้ใบเสียหายน้อยที่สุด เพราะหากนำไปวางทับกันจำนวนมาก ทำให้เกิดความเสียหายได้

“การขนส่งอยากให้ดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะว่าช่วงปีใหม่นี้ใกล้มาถึง เพราะคนที่มาซื้อ เขาซื้อไปเพื่อส่งมอบต่อเป็นของขวัญ ถ้าใบเสียหาย ดอกเสียหาย คนก็ไม่อยากซื้อ ทำให้ผู้ประกอบการเองขายได้น้อยลง แทนที่จะมีกำไร อาจจะขาดทุน อย่างไม้ใบ ขอให้ห่อให้ดี เพื่อให้ใบกระทบกันน้อยลงจะดีที่สุด ถือว่าช่วยประหยัดต้นทุนได้ ของที่จำหน่ายจะได้ออกมาดีมีคุณภาพ” คุณทวีพงศ์ กล่าว

สำหรับผู้รับ ทำอย่างไร

ในกรณีดูแลรักษาได้

คุณทวีพงศ์ อธิบายว่า สำหรับผู้รับที่ได้ดอกไม้เป็นของขวัญ อาจต้องดูแลให้มีอายุที่นานขึ้น เพื่อความคงทนสวยงาม เช่น ช่อบูเก้ ถ้ายังคงสภาพไว้เช่นนั้นดอกไม้อาจจะอยู่ได้ไม่นาน สามารถยืดอายุให้คงนานด้วยการรื้อดอกไม้ออกจากช่อ จากนั้นนำไปตัดก้าน แล้วนำไปแช่น้ำ ปักลงในแจกันใหม่ ทำให้ยืดอายุของดอกไม้ชนิดนั้นได้นาน ดีกว่าให้คงสภาพอยู่ในช่อบูเก้

สำหรับไม้ประดับ ขอให้ทำการศึกษาเล็กน้อย เพราะอย่างน้อยจะได้รู้ว่าไม้ประดับชนิดนั้น ต้องการสภาพแวดล้อมอย่างไร เพราะบางอย่างสามารถปลูกไว้ในห้องได้เป็นเวลานานเป็นปี อาจจะต้องให้ได้รับแสงบ้างเล็กน้อย สิ่งที่สำคัญคือการรดน้ำ อาจจะไม่ต้องรดน้ำบ่อยครั้ง เพราะไม้ประดับอยู่ภายในห้อง ซึ่งบางครั้งดูแลดีเกินไปก็สามารถตายได้ เช่น รดน้ำบ่อย เหมือนไม้ประดับที่อยู่ภายนอกอาคาร ทำให้รากเน่าต้นไม้ตาย

ไม้ประดับที่เหมาะสมจะอยู่ภายในอาคาร เช่น วาสนา เขียวหมื่นปี อะโกลนีมา ลิ้นมังกร ว่านงาช้าง ไม้ที่กล่าวมานี้ สามารถมอบให้กันเป็นของขวัญได้ เพราะมีความคงทน เมื่อนำมาตั้งประดับตกแต่งภายในห้อง ใน 1 สัปดาห์ นำไปสัมผัสแสงแดด 2 ครั้ง เพราะแสงจากหลอดไฟภายในอาคารไม่สามารถทดแทนแสงที่ได้รับจากดวงอาทิตย์ หากไม้ประดับได้รับแสงจากหลอดไฟเพียงอย่างเดียว การสังเคราะห์แสงจะน้อยลง และไม้ประดับจะมีลำต้นยืดมากเกินไป ส่งผลต่อความสวยงาม เพราะทรงต้นสีสันอาจไม่เป็นดังสภาพเดิมเหมือนตอนที่ได้รับมา

ช่วงสุดท้ายของการสัมภาษณ์ คุณทวีพงศ์ ได้กล่าวส่งท้ายว่า “ในฐานะที่ผมดูแลเรื่องไม้ดอกไม้ประดับ ผมมองว่าเหมาะที่จะมอบให้กันเป็นของขวัญ อาจจะดีกว่าของอย่างอื่น เพราะของอย่างนี้เป็นของธรรมชาติ และก็มีให้เลือกเยอะ มีสีสันสวยงาม ทำให้คนที่ได้รับเห็นแล้วก็สดชื่นนะครับ อาจจะไม่ใช่ของที่เก็บไว้ได้นาน แต่ถ้าเรารู้จักวิธีการดูแล คนที่รับไปเขาดูแลเป็น ทำให้เกิดการเรียนรู้ตามมา ของอย่างอื่นอาจจะวางไว้เฉยๆ แต่ไม้ดอกไม้ประดับนี่ ทำให้เกิดการศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติต่างๆ ของมัน เพื่อให้อยู่ได้นาน ที่สำคัญช่วยดูดสาร ทำให้สภาพแวดล้อมดีขึ้น เพราะต้นไม้ช่วยดูดสารพิษบางตัวได้อีกด้วย”

“สิ่งที่สำคัญอีกอย่าง ประเทศเราเป็นแหล่งที่ผลิตไม้ดอกไม้ประดับแหล่งใหญ่ สายพันธุ์เองก็มีหลากหลาย โดยประเทศรอบๆ บ้านเรานี่ ก็มารอพันธุ์ใหม่ๆ จากประเทศเรา เพราะประเทศเรามีการสะสมแหล่งพันธุ์เยอะ ทั้งกล้วยไม้ และไม้ใบต่างๆ เราก็มีการพัฒนาพันธุ์ โดยหาจากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก นำมาเก็บไว้ที่ประเทศเรา เพื่อทำพ่อแม่พันธุ์ ดังนั้น การนำไม้ดอกไม้ประดับมาใช้นี่ นอกจากใช้ในแง่ความสวยงามแล้ว ยังช่วยการส่งเสริมอาชีพให้แก่เกษตรกรคือ ขอให้ใช้ไม้ดอกไม้ประดับที่ปลูกในบ้านเรา มันจะช่วยส่งผลกับเศรษฐกิจของประเทศด้วย” คุณทวีพงศ์ กล่าวพร้อมนึกถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้อ่านทุกท่านคงจะมีพรรณไม้ในใจแล้วใช่ไหมครับ ที่จะมอบให้แก่กันในวันปีใหม่หรือเทศกาลต่างๆ นี้ อย่างน้อยไม้ดอกไม้ประดับก็เป็นสิ่งแทนใจ แม้ดูเล็กน้อยแต่แนบแน่นไปด้วยความสวยงาม ทั้งด้านจิตใจ ความสงบ ตลอดจนสภาพแวดล้อม และเศรษฐกิจของประเทศ มนุษย์ทุกคนคงจะหนีไม่พ้นการได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติ เหมือนดังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดา พระองค์ได้ตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ ท่ามกลางป่าดงที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ ไม้ดอกไม้ประดับแม้ดูเล็กน้อย หากทุกท่านไม่ช่วยกันส่งเสริมและอนุรักษ์ อีกไม่นานพรรณไม้ธรรมชาติ และป่าไม้ในประเทศของเราอาจจะไม่มีให้ลูกหลานได้เห็นสืบไป จะมีก็แต่เพียงคำบอกเล่าว่า ประเทศไทยสมัยก่อนอุดมสมบูรณ์ ที่มีแต่เพียงคำพูดบอกเล่า แต่ไม่มีภาพจริงให้ลูกหลานได้เห็น

มีข้อสงสัย หรืออยากได้รับคำแนะนำเพิ่มเติม สอบถามได้ที่กลุ่มส่งเสริมไม้ดอกและไม้ประดับ สำนักส่งเสริมการเกษตรและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร โทร. (02) 940-6104

ไม้ดอกไม้ประดับ ช่วยดูดสารพิษ

ไม้ดอกไม้ประดับเมืองร้อนหลายชนิด ไม่ได้มีคุณค่าเฉพาะการประดับตกแต่ง เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติช่วยดูดซับสารพิษและช่วยฟอกอากาศ เพื่อลดมลพิษภายในบ้านเรือน อาคารสำนักงาน สร้างสุขภาวะที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย และเป็นการช่วยลดโลกร้อนอีกทางหนึ่งด้วย

สารพิษที่พบในอาคารและมีอันตราย ได้แก่

1. สารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ซึ่งจะมีอยู่ในตัวตึกหรืออาคารที่สร้างใหม่ หรือบ้านที่ใช้เฟอร์นิเจอร์ ไม้อัดบอร์ด สี พลาสติก รวมถึงสารพิษในเนื้อปูน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เซื่องซึม ภูมิแพ้ หอบหืด ผื่นคันตามผิวหนัง ระคายเคืองตา คอ จมูก ไซนัส จนถึงระบบประสาทผิดปกติ เรียกว่า อาการแพ้ตึก

2. สารไตรคลอโรเอทิลีน (Trichloroethylene : TCE) พบในตัวทำละลายเป็นส่วนมาก เช่น การซักแห้ง ในหมึกพิมพ์ สีทา แล็กเกอร์ น้ำมันชักแห้ง กาวสังเคราะห์ และมีรายงานว่าเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งตับ

3. เบนซิน (Benzene) พบในน้ำมันรถยนต์ หมึก สีทาพลาสติก และยาง เป็นสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังและดวงตา หากมีการสูดดมในปริมาณมาก จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดศีรษะ และเกิดโรคทางเดินหายใจ นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดลูคีเมียด้วย

4. ไซลีน (Xylene) เป็นสารประกอบที่มีการใช้มากในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสีสารเคลือบเงา และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับตัวทำละลายต่างๆ ถือเป็นสารอินทรีย์ระเหยง่ายที่มีพิษต่อมนุษย์ มีผลไปกดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการความจำเสื่อม หวาดกลัวกระวนกระวาย อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร ทรงตัวลำบาก คลื่นไส้อาเจียน ผิวหนังแห้ง และเกิดโรคผิวหนัง มักพบเป็นโรคไตร่วมด้วย

5. โทลูอีน (Toluene) หรือ ฟีนิลมีเทน เป็นสารตัวทำละลายอินทรีย์ที่สำคัญในกลุ่มสารอินทรีย์ระเหยง่าย ใช้มากในอุตสาหกรรมต่างๆ สำหรับเป็นตัวทำละลาย และเป็นสารตั้งต้น สำหรับผลิตสารชนิดต่างๆ การสูดดมหรือหายใจเข้าสู่ระบบหายใจ จะทำให้รู้สึกมึนงง มีอาการประสาทหลอน เมื่อสูดดมมากจะทำลายระบบประสาทและสมอง

6. แอมโมเนีย (Ammonia) เป็นสารที่ไม่มีสี มีกลิ่นฉุน ซึ่งคนเราสามารถสัมผัสกลิ่นแอมโมเนียได้ หากมีความเข้มข้นมากกว่า 5 ppm ถ้าหายใจเข้าไปเพียงเล็กน้อยจนทำให้น้ำตาไหล ออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจอย่างแรง ทำให้เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวได้ง่าย

จากการวิจัย เรื่อง Interior landscape Plant for Indoor Air Pollution Abatement โดย ดร. บี ซี วูฟเวอร์ตัน นักวิจัยแห่งสถาบันวิจัยอวกาศนาซ่า สหรัฐอเมริกา พบไม้ดอกไม้ประดับที่มีความสามารถและประสิทธิภาพในการกำจัดสารมลพิษในอากาศได้อย่างดี มีจำนวน 27 ชนิด ตัวอย่างเช่น เขียวหมื่นปี ลิ้นมังกร เฟิร์นบอสตัน หน้าวัว กล้วยไม้สกุลหวาย เดหลี วาสนาอธิษฐาน ต้นมรกตแดง สาวน้อยประแป้ง แววมยุรา เศรษฐีเรือนใน ยางอินเดีย ปาล์มไผ่ ไอวี่ (ตีนตุ๊กแกฝรั่ง) ต้นไทรย้อยใบแหลม เยอร์บีร่า เข็มสามสี และประกายเงิน เป็นต้น

1. แก้วกาญจนา “เขียวหมื่นปี” หรือ Chinese Everygreen (Aglanema sp.) เป็นไม้ประดับที่มีใบสวยงาม ชอบดินร่วน ไม่ชอบน้ำขัง จึงนิยมใช้ปลูกเลี้ยงประดับภายในอาคาร ด้วยใบที่กว้าง จึงทำให้สามารถดูดสารพิษได้ดี มีประสิทธิภาพสูงในการดูดสารพิษ จำพวกฟอร์มาลดีไฮด์

2. ลิ้นมังกร หรือ Mother – in – law”s Tongue (Sansievieria sp.) มีประสิทธิภาพสูงในการดูดสารพิษจำพวกเบนซิน

3. เฟิร์นบอสตัน หรือ Boston Fern (Nephrolepis exaltata) สามารถดูดสารพิษได้มาก โดยเฉพาะจำพวกฟอร์มาลดีไฮด์ที่มาจากกาว ฝ้าเพดานสำเร็จรูป และสารพิษจำพวกไซลีน

4. หน้าวัว (Anthurium andraeanum) มีประสิทธิภาพในการคายความชื้น และดูดซับสารพิษจำพวกฟอร์มาลดีไฮด์ ไซลีน และแอมโมเนีย

5. กล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium Orchid) มีความสามารถในการดูดสารพิษจำพวกแอลกอฮอล์ อะซีโตน คลอโรฟอร์ม และฟอร์มาลดีไฮด์ได้อีกด้วย

6. เดหลี หรือ Peace Lily (Spathiphyllum wallisei) มีความสามารถสูงในการดูดสารพิษจำพวกแอมโมเนีย หรือ ไตรคลอโรเอทิลีน (TCE) เบนซิน และฟอร์มาลดีไฮด์ได้ดี

นอกจากนี้ ยังมี กระบองเพชร หรือ แค็กตัส (Cactus) ซึ่งช่วยในการหักเหรังสีหน้าจอคอมพิวเตอร์ จอทีวี และลดไฟฟ้าสถิต

Leave a comment