ลูกหยี จากผลไม้ท้องถิ่น สู่ของดี บ้านนากอ นราธิวาส

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05054151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

เทคโนโลยีเกษตร

สุกรี มะดากะกุล

ลูกหยี จากผลไม้ท้องถิ่น สู่ของดี บ้านนากอ นราธิวาส

ส่วนมากจะรู้จัก ลูกหยี จากที่วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป ทั้งในรูปผลสุกบ้าง แปรรูปบ้าง แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักต้นหยี และเห็นต้นหยีจริงๆ

ในประเทศไทย โดยธรรมชาติต้นหยีจะขึ้นอยู่มากมายทั่วไปในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ตั้งแต่ นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ลงไปจนถึงยะลา ปัตตานี และนราธิวาส

สภาพพื้นที่ที่ต้นหยีเจริญเติบโตในธรรมชาติคือ ป่าดิบชื้น ซึ่งเป็นลักษณะนิเวศแบบภาคใต้ตอนล่างไปจนถึงในมาเลเซียตอนบน

ต้นหยี จัดเป็นพืชพันธุ์ไม้ที่หายากประเภทหนึ่ง ถือเป็นพันธุ์ไม้ที่พบไม่แพร่หลายนัก จะพบมากในภาคใต้ตอนล่างแถบแหลมมลายู

โดยมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dialium Cochinchainense Piere ในวงศ์ DIALIUM มีชื่อเรียกอื่นๆ ในท้องถิ่น เช่น ลูกเด็ง กรันยี (มลายู) เขลง ท้องบึ้ง

ลักษณะเป็นไม้ยืนต้น ลำต้นมีเปลือกหยาบ หนา ไม้เป็นไม้เนื้อแข็ง ลักษณะใบเป็นใบเล็ก ปลายใบย่อยแหลมยาวและโค้ง แตกใบสลับ

ต้นหยี จะออกดอกที่ปลายกิ่ง หรือยอดกิ่ง มีลักษณะเป็นช่อสีขาว ผลออกเป็นช่อๆ แบบลำไย เมื่อสุกจะมีเปลือกเป็นสีดำ เนื้อในเป็นสีเหลืองอมส้ม เปลือกบาง เมื่อสุกเนื้อและเปลือกจะแยกออกจากกัน ลักษณะเดียวกันกับมะขาม

ต้นหยีที่ออกผลแล้วมักเป็นต้นเจริญพันธุ์แล้ว ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถตอบได้ว่าจะปลูกต้นหยีให้ได้ผลผลิตแล้วนั้นใช้ระยะเวลาเท่าไหร่แน่นอน แต่เห็นพ้องต้องกันว่าใช้ระยะเวลากว่าจะเก็บผลออกมาได้นั้น อยู่ที่ 15 ปีขึ้นไป และเก็บได้นานมากถึง 50 หรือ 60 ปี เลยทีเดียว

คุณมะตอเฮ ยะโย ผู้ใหญ่บ้านนักพัฒนาแห่งบ้านนากอ และภรรยา คุณอรุณี ยะโย ผู้ก่อตั้งศูนย์ส่งเสริมอาชีพสตรีบ้านนากอ หมู่ที่ 6 ตำบลจอเบาะ อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส เป็นผู้หนึ่งที่เล็งเห็นว่า ในพื้นที่ยังมีต้นหยีของชาวบ้านอยู่มาก และเมื่อถึงฤดูกาลผลไม้แล้ว ลูกหยีมักไม่มีใครสนใจเก็บผลขายเป็นจริงเป็นจังมากนัก มักถูกปล่อยร่วงทิ้งตามโคนต้นทุกปี นานๆ จะมีคนมาขอรับซื้อเพื่อไปขายที่ปัตตานี

จากแนวคิดดังกล่าว จึงทำให้จุดประกายในการนำลูกหยีจากธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ และเริ่มขยายแนวคิดไปสู่ชาวบ้านในพื้นที่

ผู้ใหญ่มะตอเฮ บอกว่า ได้พูดคุยกับชาวบ้าน ลองเก็บผลอย่างจริงจังดูไม่ให้เสียของ และถ้าเอามาแปรรูปจำหน่าย จะเป็นการช่วยให้ชาวบ้านได้มีงานทำในเวลาว่าง หลังจากเสร็จภารกิจหลักแล้ว อีกทั้งสามารถเพิ่มรายได้กับชาวบ้านได้

เมื่อเห็นโอกาสในการเปิดตลาดได้โดยเฉพาะในจังหวัดนราธิวาส จึงคิดลองทำดู และรวบรวมชาวบ้านช่วยกันหาลูกหยี ในพื้นที่ ปรากฏว่าได้รับผลผลิตเป็นจำนวนมาก จากนั้นจึงเริ่มโครงการแรก ผลิตภัณฑ์ลูกหยีฉาบ เคลือบน้ำตาล

คุณมะตอเฮ หรือ แบเฮ เล่าให้ฟังถึงที่มาของลูกหยีบ้านนากอว่า

“ทีแรกนั้น เราเริ่มจากเสริมอาชีพรองมาให้ชาวบ้านอยู่แล้วครับ นอกจากอาชีพหลักคือ กรีดยาง เมื่อถึงหน้าผลไม้ ประจำปี รายได้ชาวบ้านก็จะเพิ่มขึ้นจาก ลองกองบ้าง ผลไม้อย่างอื่นบ้าง และบริเวณนี้เป็นเขตเทือกเขาบูโด ซึ่งมีทรัพยากรที่สมบูรณ์มาก ผลไม้ออกจากที่นี่ไปจำนวนมาก ชาวบ้านยังได้รายได้จากพวกผลไม้อื่นๆ อีก เช่น ส้มแขก หมาก เรามีตู้อบ ซึ่งสามารถอบ รักษาผลผลิตได้ยาวนานอยู่แล้ว 2 อันนี้ คือที่มาแรกเริ่มของกลุ่มสตรีที่นี่เลยครับ ต่อมาเราเห็นว่า ลูกหยี โดนปล่อยทิ้งไว้มาก เครื่องอบก็มีอยู่แล้วน่าจะลองทำดูบ้าง ได้ปรึกษากับภรรยาและเรียกกลุ่มสตรีมาพูดคุย สุดท้ายจึงได้กลายมาเป็นโครงการนี้ สร้างรายได้เพิ่มแก่ชาวบ้านได้จริงๆ”

แรกเริ่มนั้น เกิดจากปัญหา เนื่องจากลูกหยีในพื้นที่นั้นกำลังหายาก ไม่มีใครสนใจเก็บเกี่ยวผลผลิตเท่าที่ควร มักปล่อยทิ้งคาต้นไว้เป็นจำนวนมาก และเพราะต้นหยีนั้นเป็นพืชไม้ยืนต้น ต้นสูงเก็บเกี่ยวยากมาก การเก็บเกี่ยวก็เป็นปัจจัยหลักๆ เลย เพราะต้องใช้คนปีนเท่านั้น ปัจจุบันนี้หาคนปีนเก็บยากมาก ลูกหยีจะออกตามยอด ต้นมีความสูง หากคนไม่เคยเก็บแล้วปีนขึ้นไปเก็บจะอันตรายมาก และตลาดก็มีน้อย ไม่คุ้มค่าจ้างเก็บ สุดท้ายจึงทำให้ชาวบ้านไม่เก็บไปขายกัน

ผู้ใหญ่มะตอเฮ บอกว่า แรงจูงใจสำหรับทำโครงการแปรรูปลูกหยีว่า มองเห็นปัญหาโดยสรุปหลักๆ คือ

หนึ่ง เพราะมีลูกหยีตามธรรมชาติอยู่ในพื้นที่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้ใช้ ถูกทิ้งไว้เปล่าประโยชน์

สอง ลูกหยี เป็นของหายาก มีเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น

สาม มีราคาสูง

สี่ เพื่อให้กลุ่มสตรีจะได้สร้างอาชีพ หารายได้เพิ่มขึ้น

ห้า เพื่อการอนุรักษ์ ควรนำมาสร้างมูลค่าให้เกิดประโยชน์ ไม่เช่นนั้นชาวบ้านอาจจะโค่นต้นไว้ทำบ้าน ทำเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่น จะทำให้ต้นหยีสูญพันธุ์ได้

เมื่อสำรวจตลาดแล้ว ปรากฏว่าชาวบ้านเกษตรกรส่วนใหญ่ในเขตจังหวัดนราธิวาส มักนำผลผลิตลูกหยีที่เก็บได้ในแต่ละปีไปขายที่จังหวัดปัตตานีแหล่งเดียว เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของจังหวัดไปแล้ว

ความเป็นจริง วัตถุดิบคือลูกหยีนั้นมีอยู่ทั่วไปของจังหวัดนราธิวาสเยอะมาก แต่ตลาดไม่มี หากสามารถทำตลาดได้ หรือผลิตแปรรูปเป็นของตัวเอง เป็นตัวแทนจังหวัดนราธิวาสเอง

อันนี้จึงน่าสนใจมาก พอมองออกได้ว่า อันนี้เป็นช่องทางหนึ่งให้เกิดธุรกิจได้หากทำได้จริง ชาวบ้านจะมีงานทำและสร้างรายได้เข้ามาเป็นรายได้ที่แน่นอนได้อีกทางหนึ่ง

ในปีนี้จึงเริ่มเก็บผลของลูกหยีเป็นปีแรก ลูกหยีออกผลได้เช่นเดียวกับผลไม้ชนิดอื่นๆ ในพื้นที่เริ่มออก ออกช่วงมิถุนายน เก็บผลได้ระยะแรกตั้งแต่สิงหาคม-พฤศจิกายน ผลผลิตแล้วแต่มากน้อยแต่ละปี และแต่ละต้นไม่เท่ากัน

อย่างเช่น ต้นหยีที่อยู่หลังบ้านผู้ใหญ่มะตอเฮ อายุอย่างน้อย 20 กว่าปี เก็บลูกหยีสดได้ร่วมๆ 200 กิโลกรัม ถ้าหากเป็นต้นใหญ่ที่อายุยาวนี้ ก็ออกผลได้มากขึ้น เก็บได้ยาวนานหลายรอบขึ้น

“ผมกับภรรยาได้ปรึกษากันเรื่องนี้ ทรัพยากรเรามีมาก แต่จะทำอย่างไรดี ให้สามารถเก็บเกี่ยวได้ ใช้ประโยชน์ได้ การตลาดก็น่าสนใจ เนื่องจากในตัวจังหวัดนราธิวาสเองยังไม่มี ทางตลาดภาคใต้ตอนบนก็ยังไม่มี เนื่องจากภรรยาผมเดิมเขาเป็นคนจังหวัดชุมพร เราไปเดินที่ตลาดหลังสวน เห็นมีวางขายและราคาสูงมาก และกลับมามองที่บ้านตัวเองเห็นว่าทรัพยากรมีมากมายสามารถหารายได้เข้ามาให้แก่ชาวบ้านและหมู่บ้านได้แน่นอน จึงเริ่มศึกษาหาทางแปรรูปและประชุมกลุ่มสตรี เรียนรู้อยู่นาน จนในที่สุด ปัจจุบันเราได้แปรรูปลูกหยีได้สำเร็จ อย่างแรกเป็น ลูกหยีฉาบ เคลือบน้ำตาล มี 3 รส คือ รสหวาน รสเผ็ดมาก และรสเผ็ดกลางๆ หรือเผ็ดน้อย” ผู้ใหญ่มะตอเฮ กล่าว

กรรมวิธีการเก็บลูกหยีให้ได้ตามมาตรฐานนั้นคือ หลังจากเก็บลูกหยีลงมาจากต้นได้ลูกหยีสด นำมาตากแดดให้แห้งก่อน 1 แดด ในขั้นแรกนี้เพื่อที่จะทำให้เนื้อลูกหยีและเปลือกแยกตัว ล่อนออกจากกัน

จากนั้นไปสู่กรรมวิธีการแกะเปลือก อันนี้ใช้วิธีโบราณเลยคือ นำลูกหยีที่ตากแดดแล้วมาใส่กระสอบข้าวแล้วทุบ โดยทุบทั้งกระสอบ อาศัยว่าเปลือกที่กรอบ จะทำให้เปลือกล่อนออกจากกัน ขั้นตอนนี้สามารถลอกเปลือกได้เร็ว จะเหลือติดอยู่เพียง 30% เท่านั้น จึงเทออกมาใส่ตะกร้า และใช้มือแกะออกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ได้เนื้อลูกหยี 100% เสร็จขั้นตอนที่ 1

ส่วน ขั้นตอนที่ 2 และที่ 3 คือนำเนื้อลูกหยีล้วนๆ ที่ปอกเปลือกเสร็จแล้ว นำมาตากแดดอีก 2 แดด ขั้นตอนนี้เพื่อที่จะทำให้เนื้อลูกหยีเกาะแน่น และล่อนจากเมล็ดได้ดี แล้วนำไปบรรจุในถุงพลาสติกเมื่อได้ตากแดด 1 ตากพร้อมเปลือก 1 แดด และตากเนื้อล้วนๆ อีก 2 แดด

เสร็จกรรมวิธีนี้แล้ว จะเป็นการเก็บรักษาไว้ให้ยาวนานได้มาตรฐาน สามารถเก็บลูกหยีไว้ได้นาน ตั้งแต่ 6 เดือน ไปถึง 1 ปี เป็นอย่างน้อย

เนื่องจากฤดูผลไม้ทางภาคใต้ตอนล่างนี้มักออกช่วงฤดูฝนของทุกๆ ปี จึงทำให้เกิดมีปัญหาในขั้นตอนการตากแดดบ้าง เพื่อแก้ไข ที่นี่จึงใช้ตู้อบแทนการตากแดด ถ้าวันไหนไม่มีแดด ก็จะนำลูกหยีมาใส่ในตู้อบ ใช้เวลา 3 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย ทดลองแกะลูกรับประทานดู ถ้าหากเนื้อล่อนออกจากเมล็ดแล้ว ถือว่าได้มาตรฐานแล้ว สามารถนำไปเก็บบรรจุถุง เก็บเข้าไว้ในโกดังสามารถรักษายืดอายุลูกหยีได้ 6 เดือน ถึง 1 ปี เป็นอย่างน้อย

แม้ว่า ลูกหยีของกลุ่มสตรีบ้านนากอ จะเก็บได้ในปีแรก แต่ผลิตผลที่ได้นั้นก็มากพอที่จะเก็บไปผลิตแปรรูปได้ สามารถมองเห็นช่องทางสร้างรายได้แล้ว

แต่สิ่งที่ต้องทำช่วงนี้คือ การเปิดตลาด ด้วยขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเริ่มต้น การขายจึงส่งขายตลาดค้าปลีกตามหมู่บ้านใกล้เคียง

สำหรับในส่วนขั้นตอนการผลิตลูกหยีฉาบนี้ ทางกลุ่มสตรีได้ให้ข้อแนะนำว่า สิ่งสำคัญอยู่ที่วัตถุดิบ คือลูกหยีนี้ต้องตากแดดให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ แล้วเนื้อต้องล่อนออกจากกัน จึงจะทำให้ได้ผลง่ายและเร็ว ขั้นตอนที่สำคัญมี 4 ขั้นตอน เริ่มจาก

หนึ่ง เตรียมน้ำเชื่อมไว้ในกระทะทองเหลืองเคี่ยวน้ำตาลให้เข้มข้น

สอง ปรุงรสให้ได้ตามต้องการ เช่น รสเผ็ด เติมพริกและเกลือ เมื่อน้ำตาลเชื่อม เชื่อมได้รสชาติตามที่ต้องการแล้ว

สาม นำลูกหยี เทใส่ในกระทะ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ลูกหยีจะคล้ายๆ ถูกเคลือบด้วยคาราเมล เหนียวติดกัน พักไว้สักครู่หนึ่ง

สี่ ขั้นตอนสุดท้าย เตรียมน้ำตาลทรายขาวและน้ำลูกหยีที่เคลือบไว้มาลงคลุกกันลงในน้ำตาลอีกครั้งหนึ่ง จะทำให้ลูกหยีแยกออกจากกันเป็นเม็ดๆ ทิ้งไว้สักครู่ เมื่อเย็นลงได้อุณหภูมิปกติแล้ว จึงสำเร็จเสร็จสิ้นขั้นตอน สำหรับฉาบหวาน ก็เพียงไม่ต้องปรุงรสให้เผ็ดเท่านั้น นอกนั้นทำเหมือนกันทุกขั้นตอน

ผู้ใหญ่มะตอเฮ กล่าวถึงอนาคตว่า จะพัฒนาแปรรูปให้ดียิ่งขึ้น ต้องทำอีกหลายด้านควบคู่กัน เช่น พัฒนาทำฉลาก บรรจุภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน ติดต่อขอสนับสนุนหน่วยงานรัฐให้มาเพิ่มความรู้ ศึกษาเรื่องการตลาด พัฒนาผลิตภัณฑ์ ปรึกษากับทาง กรมส่งเสริมอาชีพ จังหวัดนราธิวาส เพื่อพัฒนาเป็นสินค้าโอท็อป (OTOP) ประจำตำบล และพัฒนาให้เป็นลูกหยีแปรรูปที่ขึ้นชื่อของตำบลและของจังหวัดนราธิวาสให้ได้

ดังนั้น สนใจร่วมลงทุน สามารถติดต่อได้ที่ ผู้ใหญ่มะตอเฮ ยะโย โทร. (081) 276-9921

Leave a comment