เลี้ยงปลานิลในบ่อกุ้ง ของ วิมลมาศ เปี่ยมสมบูรณ์ ที่ราชบุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05077151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

เทคโนโลยีการประมง

สุรเดช สดคมขำ

เลี้ยงปลานิลในบ่อกุ้ง ของ วิมลมาศ เปี่ยมสมบูรณ์ ที่ราชบุรี

ราชบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางด้านตะวันตก ที่ภูมิประเทศมีความหลากหลาย จากพื้นที่ที่ราบต่ำลุ่มแม่น้ำแม่กลองอันอุดมสมบูรณ์ สู่พื้นที่สูงทิวเทือกเขาตะนาวศรี ทอดตัวยาวทางทิศตะวันตกจรดชายแดนไทย-พม่า

ถือเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชผัก และผลไม้เศรษฐกิจนานาชนิด เรียกได้ว่ามีการทำการเกษตรที่หลากหลาย ด้านการประมงที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในจังหวัดราชบุรีคือ การเลี้ยงกุ้งทะเล กุ้งก้ามกราม และปลาสวยงาม สร้างรายได้หลักพันล้านบาทต่อปี ดังเช่น เกษตรกรรายนี้ ที่เลี้ยงกุ้งมามากกว่า 10 ปี พร้อมทั้งมีการพัฒนานำปลานิลมาเลี้ยงผสมกับกุ้งภายในบ่อ จนสร้างรายได้เป็นที่น่าภาคภูมิใจ คือ คุณวิมลมาศ เปี่ยมสมบูรณ์

คุณวิมลมาศ อยู่บ้านเลขที่ 178/2 หมู่ที่ 3 ตำบลบางแพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี

พิษเศรษฐกิจ ปี 40

ก้าวสู่ชีวิตเกษตรกร

คุณวิมลมาศ เล่าว่า ช่วงแรกประกอบธุรกิจส่วนตัวในรูปแบบบริษัท ด้วยสภาวะเศรษฐกิจ ปี 2540 จึงเลิกทำธุรกิจนั้นและเปลี่ยนมาเริ่มเลี้ยงกุ้ง

“เมื่อก่อนนะ พี่ทำธุรกิจด้านอื่นก่อน ที่ไม่เกี่ยวกับวงการกุ้งเลย ทำเป็นรูปแบบบริษัทมาก่อน ที่เป็นธุรกิจส่วนตัวของพี่เอง พอโดนสภาวะเศรษฐกิจ ปี 40 สิ่งที่พี่ทำมาก็เลยเลิกไป เลยหันมาทำด้านการเกษตรแทน คือ เพาะเลี้ยงกุ้ง” คุณวิมลมาศ กล่าวด้วยรอยยิ้ม ของชีวิตที่หันมาทำเกษตรด้านการประมง

เมื่อเริ่มเลี้ยงกุ้งได้ประมาณ 5 ปี เธอจึงสมัครเข้าเป็นสมาชิกชมรมผู้เลี้ยงกุ้ง เพื่อศึกษาและแลกเปลี่ยนวิชาความรู้ที่มีภายในชมรม ตลอดจนช่วยงานภายในชมรมทุกด้าน จากนั้นเมื่อมีความชำนาญมากขึ้น บวกกับศักยภาพของคุณวิมลมาศ จึงทำให้ได้ขึ้นเป็นประธานชมรม จึงนำเพื่อนๆ เกษตรกรมาศึกษาดูงานที่ฟาร์มของเธอ มีการสอนการเลี้ยงและพัฒนามากยิ่งขึ้น

คุณวิมลมาศ เล่าว่า จากการรวมกลุ่มของชมรม ทำให้สามารถกำหนดราคาไปในทิศทางเดียวกันได้ พร้อมทั้งสินค้าที่จะขายก็มีส่งให้กับพ่อค้าแม่ค้าตลอด ไม่ขาดช่วงเหมือนทำฟาร์มเดี่ยวๆ เพียงลำพัง อีกทั้งสมาชิกภายในชมรมสามารถซื้ออาหารสำหรับเลี้ยงกุ้งได้ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป เพราะทางชมรมติดต่อกับทางบริษัทโดยตรง ทำให้ประหยัดต้นทุนมากขึ้น

คุณวิมลมาศ เล่าต่อว่า พอปี 2555 จึงมีการพัฒนาการเลี้ยง โดยนำปลานิลมาเลี้ยงผสมกับกุ้งภายในบ่อ ปลานิลถือว่าเป็นปลาเศรษฐกิจที่เป็นที่นิยมรับประทาน ในช่วงแรกที่ยังไม่รู้วิธีการเลี้ยงมากนัก เลี้ยงแบบลองผิดลองถูกมานานนับปี

“กว่าเราจะมาถึงวันนี้เนี่ย คิดค้นกันมาเป็นปีนะคะ คือขั้นตอนแรก เอาปลามาปล่อยก่อนในบ่อ ซึ่งมันเป็นการยากที่จะจับแต่ละครั้ง เพราะว่าจับกุ้งไปก็เจอปลา หรือไม่รู้ว่า บางทีหว่านอาหารกุ้งไป ปลาจะกินหรือเปล่า พอมาปล่อยรวมกันนี่มั่วไปหมด ตอนหลังก็มาเปลี่ยน เอากระชังใส่ลงไปเลี้ยงปลา ผลสรุปคือ ทำด้วยวิธีนี้ดี ทุกอย่างเป็นระเบียบมากขึ้น” คุณวิมลมาศ กล่าวด้วยสีหน้าที่นึกถึงเหตุการณ์ของการลองผิดลองถูกในสมัยนั้น

จากการเลี้ยงผสมกัน 3 ชนิด คือ กุ้งขาว กุ้งก้ามกราม และปลานิล คุณวิมลมาศ บอกว่า ถือเป็นที่น่าพอใจ เพราะเมื่อเวลาที่ราคากุ้งตกต่ำ ยังมีปลานิลคอยช่วยเสริมทางการตลาด หากเลี้ยงกุ้งเพียงอย่างเดียวแบบสมัยก่อน หรือช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาด เช่น อีเอ็มเอส ตัวแดง จะไม่มีผลผลิตอื่นมาแทน แต่การเลี้ยงปลานิลภายในบ่อกุ้ง ทำให้มีการค้าขายที่หลากหลายมากขึ้น โรคระบาดก็ค่อนข้างน้อยลง

วิธีการเลี้ยง

และดูแล ทำอย่างไร

คุณวิมลมาศ เล่าว่า เมื่อทดลองจนประสบผลสำเร็จแล้ว จึงเลี้ยงปลานิลร่วมกับกุ้งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยมีวิธีการ ดังนี้

ขั้นตอนแรก ซื้อพันธุ์ลูกปลานิลที่ดีมีคุณภาพ จากแหล่งฟาร์มที่เชื่อถือได้ นำมาอนุบาลลงในกระชังมุ้งเขียว 5,000 ตัว ต่อกระชัง เลี้ยงประมาณ 20 วัน การให้อาหาร 3 มื้อ เช้า กลาง และเย็น

จากนั้น ย้ายปลานิลมาลงในกระชังที่มีตาข่ายเท่าตาปู ขนาด 7×15 เมตร เลี้ยงลูกปลานิลอีก 40 วัน จะได้ปลานิล ขนาด 20 ตัว ต่อกิโลกรัม แบ่งปลานิลมาเลี้ยงในกระชังที่มีตาข่าย ขนาด 3 เซนติเมตร เลี้ยงอยู่ที่ 2,500-3,000 ตัว ต่อกระชัง ใช้เวลาเลี้ยงอีกประมาณ 1 เดือน จะได้ปลานิล ขนาด 4-5 ตัว ต่อกิโลกรัม

เมื่อปลานิลได้ตามขนาดที่ต้องการแล้ว คุณวิมลมาศ บอกว่า จะนำมาปล่อยเลี้ยงภายในบ่อกุ้งขาว และก้ามกราม เลี้ยงไปอีกประมาณ 3 ถึง 3 เดือนครึ่ง เพื่อเวลาที่กุ้งและปลาโตได้ขนาดจะทำให้สามารถจับขายพร้อมกันได้ตามเวลาที่กำหนด

บ่อกุ้งที่เตียมไว้เรียบร้อย มีขนาดประมาณ 4 ไร่ นำกระชังสำหรับใช้เลี้ยงปลานิล ตาข่าย 6 เซนติเมตร ขนาด 7×15 เมตร สูง 180 เซนติเมตร ขึ้นไป นำมาปักภายในบ่อกุ้ง จำนวน 4 กระชัง ให้กระชังสำหรับเลี้ยงปลานิลอยู่ใต้ใบพัดตีน้ำในบ่อกุ้ง เพราะปลานิลจะว่ายทวนน้ำ ทำให้ดูปราดเปรียวและแข็งแรง ปล่อยปลานิล ขนาด 4-5 ตัว ต่อกิโลกรัม ลงไป 1,000-1,100 ตัว ต่อกระชัง ทุกกระชังจะปล่อยปลานิลจำนวนเท่านี้

จากนั้น นำกุ้งขาวมาปล่อยลงในบ่อ จำนวน 100,000 ตัว ต่อบ่อ ขนาด 4 ไร่ อีกประมาณ 10 วัน จึงนำกุ้งก้ามกรามปล่อยตามลงไป จำนวน 20,000 ตัว ต่อบ่อ 4 ไร่

การให้อาหาร กุ้งจะให้อาหาร 2 มื้อ คือ เช้า และเย็น ส่วนปลานิลจะให้กิน 3 มื้อ

“ช่วงที่ปล่อยกุ้งใหม่ๆ จะใช้อาหารที่มีโปรตีน 42 เปอร์เซ็นต์ ให้เช้า ตอน 7 โมง และเย็น ประมาณ 4 โมงเย็น พอเลี้ยงไปอายุกลางๆ ก็ให้โปรตีน 38 เปอร์เซ็นต์ แล้วอาจตบท้ายด้วยอาหารที่มีโปรตีน 42 เปอร์เซ็นต์ อีกครั้งหนึ่ง โดยดูตามความเหมาะสม เพราะราคากุ้งแต่ละช่วงในท้องตลาดไม่เท่ากัน เราอาจต้องให้อาหารที่มีโปรตีน 35 เปอร์เซ็นต์ เพื่อรอราคาอีกที”

“ส่วนปลานิล พี่ก็ให้ 3 มื้อ คือ เช้า กลางวัน เย็น เป็นอาหารปลา ช่วงแรกเป็นอาหารปลาดุก ช่วงสุดท้ายก็เป็นอาหารปลากินพืช ที่มีโปรตีน 30 เปอร์เซ็นต์ และตบท้ายด้วย 32 เปอร์เซ็นต์ ที่เราให้อย่างนี้เพราะว่า ช่วงก่อนจับเนี่ย ตัวโปรตีนของปลากินพืชจะมาช่วยสร้างสันโหนกให้ปลาสวย มีความหนาขึ้น สวยขึ้น แต่ทุกอย่างอยู่ที่พันธุ์ปลาด้วย ถ้าลูกปลาที่มามีคุณภาพ มันก็เลี้ยงง่าย แต่ถ้าลูกปลาไม่ดี ทำยังไงเขาก็ไม่สวย” คุณวิมลมาศ อธิบายถึงการให้อาหารกุ้งและปลานิล

วิธีการดูแล คุณวิมลมาศ เล่าว่า การเติมน้ำลงภายในบ่อจะดูตามความเหมาะสม โดยใช้การสังเกตของตนเอง เพราะในแต่ละฤดูน้ำภายในบ่อจะไม่เท่ากัน หากน้ำภายในบ่อมีระดับลดลง ก็จะค่อยๆ เติมลงไป จะไม่เติมแบบรวดเร็ว หรือเลี้ยงไปประมาณ 2 เดือน อาจมีการเติมน้ำช่วงนี้อีกครั้งก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีการเติมจุลินทรีย์และธาตุแร่ทุก 20-25 วัน

ด้านความเค็มของน้ำภายในบ่อที่ใช้เลี้ยงนั้น อยู่ที่ 1-2 ppt จะไม่เกิน 3 ppt เพราะถ้าหากความเค็มมากเกินไป คุณวิมลมาศ บอกว่า กุ้งก้ามกรามจะเจริญเติบโตได้ไม่ดี ส่วนปลานิลหากอยู่ในความเค็มมาก ปลานิลจะไม่สวยและเติบโตได้ไม่ดี

กังหันตีน้ำจะเปิดทุก 1-2 ชั่วโมง ต่อครั้ง หรือดูตามสภาพอากาศ ถ้าอากาศมีฝนตกอาจจะต้องเปิดเครื่องตีน้ำตลอดเวลา จะปิดระบบช่วงที่ให้อาหารเท่านั้น นอกจากนี้ ทางบ่อของเธอยังมีการเติมออกซิเจนภายในบ่อด้วย เพื่อเสริมออกซิเจนนอกเหนือจากเครื่องตีน้ำ

เมื่อเลี้ยงได้ประมาณ 2 เดือน คุณวิมลมาศ จะเอาไอ้โง่ลงภายในบ่อ จำนวน 30 ปาก เพื่อดักกุ้งขาว ได้ประมาณ 200 กิโลกรัม ต่อบ่อ ไซซ์ขนาด 100 ตัว ต่อกิโลกรัม นำไปขายที่แพ จากวิธีนี้จะทำให้ประชากรกุ้งภายในบ่อเบาบางลง เพราะกุ้งก้ามกรามอยู่ข้างล่างใต้บ่อบนพื้นดิน กุ้งขาวจะอยู่ชั้นบน ส่วนปลานิลก็ยังคงอยู่ในกระชังดังเดิม จากระบบนี้ทำให้น้ำคงที่ และไม่เกิดความยุ่งยากเหมือนอดีต

ด้านการตลาด

คุณวิมลมาศ เล่าว่า หลังจากที่ใช้ไอ้โง่ดักกุ้งขายไปช่วงแรกแล้วนั้น จะเลี้ยงต่อไปอีก ประมาณ 1 ถึง 1 เดือนครึ่ง มีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อถึงที่หน้าฟาร์ม ในระยะนี้ปลานิลจะมีขนาดเป็นที่ต้องการของตลาด อยู่ที่ไซซ์ 1.0-1.3 กิโลกรัม ในขั้นตอนการจับ ต้องจับปลานิลขายให้หมดเสียก่อน แล้วจึงจะจับกุ้งขายได้ ปลานิลขายส่ง อยู่ที่ราคา 60 บาท ต่อกิโลกรัม ซึ่งต้องดูว่าตลาดช่วงนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งราคาอาจมีขึ้นลงตามกลไกของตลาด

ด้านราคากุ้ง มีแม่ค้ามารับซื้อถึงหน้าฟาร์มเช่นกัน โดยแม่ค้าคนกลางจะเป็นผู้ติดต่อกับทางตลาดต่างๆ เอง การที่มารับซื้อกุ้งที่หน้าฟาร์ม จะได้กุ้งที่สด มีคุณภาพ ซึ่งคุณวิมลมาศให้ข้อคิดว่า จะไม่มีการค้าขายที่กำไรเกินจริง เพราะทุกอย่างต้องเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน แม่ค้าอยู่ได้ เราก็ต้องอยู่ได้ ซึ่งราคาแต่ละไซซ์มีความแตกต่างกัน เช่น

กุ้งก้ามกรามตัวผู้ ถ้ามีขนาดไซซ์ 8-10 ตัว ต่อกิโลกรัม จะอยู่ที่ราคา 420-370 บาท หรือถ้าขนาดไซซ์ 18-20 ตัว ต่อกิโลกรัม จะอยู่ที่ราคา 220-200 บาท ส่วนกุ้งก้ามกรามตัวเมียโปร่งไข่ ขนาดไซซ์ 25 ตัว ต่อกิโลกรัม อยู่ที่ราคา 190 บาท และ 40 ตัว ต่อกิโลกรัม อยู่ที่ราคา 140 บาท ซึ่งขนาดของกุ้งนั้นทางบ่อเป็นผู้กำหนดเอง ว่าต้องการขายที่ไซซ์ขนาดใด ยิ่งขายไซซ์กุ้งที่มีขนาดใหญ่ อาจจะใช้ระยะเวลาเลี้ยงที่นาน แต่ก็จะได้ราคาสูง

ด้านกุ้งขาว ขนาดไซซ์ 51-55 ตัว ต่อกิโลกรัม ราคาอยู่ที่ 175 บาท หรือ 136-140 ตัว ต่อกิโลกรัม ราคาอยู่ที่ 102 บาท เรียกได้ว่าจำนวนยิ่งเล็กลงตามไซซ์ ราคาก็จะยิ่งลดลง โดยทางผู้รับซื้อจะมีทีมงานมาคัดแยกไซซ์ และแยกประเภทเองที่หน้าบ่อ

สำหรับท่านที่สนใจอยากเลี้ยงเพื่อประกอบเป็นอาชีพ หรือสร้างรายได้เสริม คุณวิมลมาศ แนะนำว่า “สำหรับคนที่เลี้ยงหรือว่าอยากทำ สิ่งที่พี่อยากให้ตัดออกไปก่อนคือ คำว่า โลภ ให้เอาคำพอเพียงมาอยู่ในตัวเองก่อน โดยมานั่งวิเคราะห์หากันว่า สมมุติเราลงทุนสูง ว่าเมื่อได้กลับมานี่มันคุ้มไหม แต่ในขณะที่เราลงทุนไปเรื่อยๆ สม่ำเสมอ แล้วเราได้กลับมาอย่างสม่ำเสมอเนี่ย เราทำใจได้ไหมกับผลตอบรับนั้น อย่างช่วงแรกๆ ที่พี่ทำ เราเคยจับขายกันได้เป็นหลักล้าน แต่เดี๋ยวนี้หลักแสน ทุกคนจะต้องเกิดความรู้สึกแน่นอน แต่มานะมาขนาดนี้แล้ว แต่อยากให้ปรับความคิดกันใหม่ เราลองมาเดินตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง แล้วเราลองใช้แนวทางการเลี้ยงของเรา โดยเอาตัวเราเอง โดยเดินไปอย่างง่ายๆ เรียบๆ เราก็จะประสบความสำเร็จ โดยที่เราไม่ต้องเหนื่อยมาก ตลาดจะขึ้นจะลง เราคุมต้นทุนของเราไว้ เราก็จะอยู่ของเราได้ ไม่ต้องไปวิตกกังวล ส่วนเรื่องความเค็ม ถ้าทางภาครัฐเขาไม่ให้ใช้ความเค็ม เราก็ไม่ต้องใช้สูง และสำคัญที่สุดเราเป็นระบบปิด ความเค็มมันก็ไม่ไปไหน มันก็อยู่ของมันอยู่อย่างนี้ ขอให้เราจัดการให้ดีอย่างเดียวพอ” คุณวิมลมาศ กล่าวด้วยแววตาและสีหน้าที่มากด้วยประสบการณ์ที่ได้ประสบพบเจอมาจนถึงปัจจุบัน

ข้อเสนอแนะจาก

สำนักงานประมงจังหวัดราชบุรี

คุณอำนาจ จีนขาวขำ นักวิชาการประมงชำนาญการ สำนักงานประมงจังหวัดราชบุรี ได้กล่าว และฝากเตือนถึงเกษตรกรที่ทำด้านการประมงว่า “ตอนนี้ที่อยากเตือนก็คือ เรื่องปัญหาภัยแล้ง มีการประกาศเตือนอยู่ ทั้งประมงอำเภอ ผ่านตามสื่อต่างๆ โดยรัฐบาลประกาศมาแล้วว่า มีแนวโน้มที่จะต้องรับมือภัยแล้ง ปี 58/59 สำหรับด้านประมงเนี่ยก็มีการประชาสัมพันธ์ให้เตรียมตัวก่อน เพื่อป้องกันความเสียหาย ที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ขอให้เกษตรกรติดตามข่าวสาร การพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด และก็ขอให้ปฏิบัติตามอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งระวังโรคระบาดในช่วงดังกล่าว เพราะกำลังจะเข้าหนาว ก็จะเกิดโรคภัยระบาด ช่วงนี้ก็อาจจะตรวจคุณภาพน้ำเบื้องต้น คอยเช็กคอยสังเกต การให้อาหารก็อาจจะลดน้อยลง เพราะช่วงนี้สัตว์น้ำก็อาจจะไม่ค่อยกินเยอะ สภาพบ่อก็ต้องคอยตรวจไม่ให้น้ำรั่วซึมออกไป อาจจะต้องเตรียมแหล่งน้ำสำรอง เพื่อให้มีเพียงพอต่อการเพาะเลี้ยงระหว่างนี้ หากสัตว์น้ำที่ได้ขนาดหรือพร้อมขายก็ขอให้ขายได้เลย เพื่อลดปริมาณสัตว์น้ำภายในบ่อลง เพราะหากแน่นเกินไป การใช้น้ำจะมาก และการใช้ออกซิเจนก็จะมากไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็อยากจะส่งเสริมให้เกษตรกรลดรายจ่าย ก็คือจะส่งเสริมเรื่องการเลี้ยงกบ เลี้ยงปลาดุก เพราะสองชนิดนี้ใช้น้ำน้อย ในช่วงสภาวะแล้งนี้”

“ส่วนเกษตรกรที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน ก็อยากจะฝากว่า การขึ้นทะเบียนก็มีประโยชน์หลายอย่าง เพราะก็ไม่ได้เสียตังค์แต่ประการใด เพราะเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนแล้ว หากเกิดภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง อุทกภัย น้ำท่วมต่างๆ ก็จะได้รับการชดเชยตามระเบียบต่างๆ จากทางราชการ อีกอย่างจะทำให้เป้าหมาย หรือการช่วยเหลือทางด้านงบประมาณ ก็จะชัดเจน เพราะว่าเป็นฐานข้อมูลในการวางแผน ตลอดจนการดำเนินโครงการในอนาคตต่อไป” คุณอำนาจ กล่าว

สำหรับท่านใด หรือหน่วยงานใด สนใจศึกษาดูงานการเลี้ยงปลานิลในบ่อกุ้ง สามารถติดต่อได้ที่ คุณวิมลมาศ เปี่ยมสมบูรณ์ ประธานชมรมผู้เพาะเลี้ยงกุ้งคุณภาพจังหวัดราชบุรี หมายเลขโทรศัพท์ (086) 796-0231, (032) 381-299

Leave a comment