ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160511/227419.html
‘กฎหมายรอการกำหนดโทษ’ใครได้อะไร : ขยายปมร้อน โดยอรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ
ช่วงหยุดยาวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ปรากฏข่าวชิ้นหนึ่งซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมได้ในวันหยุดซึ่งปกติมีข่าวไม่มากนักและทำให้ยึดครองพื้นที่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์และพื้นที่ข่าวการเมืองของโทรทัศน์แต่ละช่องได้เป็นอย่างดี
ข่าวที่ว่าคือ การเปิดประเด็นเรื่องการออกกฎหมาย “รอการกำหนดโทษ” ที่เสนอแนวคิดโดย “เสรี สุวรรณภานนท์” ประธานกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือ สปท.
พูดกันอย่างไม่อ้อมค้อมกฎหมายดังกล่าวที่ “เสรี” เสนอมานั้น มุ่งเน้นไปที่ผู้กระทำผิดจากการชุมนุมทางการเมือง แม้จะเลี่ยงใช้คำว่า “นิรโทษกรรม” แต่นัยที่ได้นั้นคือจะมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ไม่ต้องรับโทษจากการกระทำ โดยเปลี่ยนจากการ “รับโทษ” เป็น “รอการกำหนดโทษ”
ตัวอย่างคดีที่ยกขึ้นมาว่าจะเข้าข่ายในกรณีนี้ คือกรณีบุกยึดสถานที่ราชการ การปิดสนามบิน การปิดสี่แยกต่างๆ ที่เป็นอุดมการณ์ทางการเมือง แต่ทำเลยเถิดจนเกิดความวุ่นวายตามมา โดยให้ยกเว้นในคดีทุจริต คดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เกี่ยวกับสถาบันและคดีวางเพลิง
“เสรี” ใช้ความเป็นทนายความและนักกฎหมาย อธิบายว่า การ “รอการกำหนดโทษ” ไม่ใช่เรื่องใหม่ และปรากฏอยู่ในประมวลกฎหมายอาญาปกติอยู่แล้ว จึงเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ไม่ขัดต่อหลักกฎหมายแต่อย่างใด
เขาเล่าต่อว่าแต่ผู้ที่จะเข้าสู่เงื่อนกฎหมายรอการลงโทษนั้น ผู้ที่ถูกดำเนินคดีต้องยอมรับสารภาพว่าตัวเองกระทำผิดในชั้่นศาลเสียก่อน แปลว่าต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ใครที่หนีคดีก็จะไม่เข้าข่ายนี้ และจำเป็นต้องรับสารภาพหากปฏิเสธและสู้คดีก็จะไม่เข้าข่ายนี้เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ หลังจากที่ได้รับการรอการกำหนดโทษแล้ว ก็จะมีมาตรการออกมาควบคุมเพื่อไม่ให้กลับไปกระทำความผิดอีก เช่น ห้ามชุมนุมการเมือง ห้ามปลุกปั่นก่อความวุ่นวาย รวมถึงอาจตัดสิทธิการเมืองตลอดไป ข้อห้ามเหล่านี้จะกำหนดไปตลอดชีวิต ไม่มีอายุความ โทษที่ถูกคาดไว้จะติดตัวไปตลอดชีวิต หากฝ่าฝืนจะถูกเรียกตัวมาฟังคำพิพากษาในคดีเดิมเพื่อลงโทษทันที
“มาตรการรอการกำหนดโทษจึงแตกต่างจากการนิรโทษกรรม เพราะการนิรโทษกรรมไม่มีข้อห้ามต่างๆ มาควบคุมหลังจากได้รับการนิรโทษกรรมแล้ว แต่วิธีรอการกำหนดโทษจะมีเงื่อนไขและข้อห้ามต่างๆ มาควบคุม มิให้กลับไปกระทำผิดอีก” นี่คือคำอธิบายของ “เสรี”
อย่างไรก็ตามข้อเสนอนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นหมันเสียแล้ว เพราะทั้งผู้ที่เคยเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมือง อย่าง นปช. และ กปปส. ต่างก็ออกมาปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว
เช่น “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” โฆษก กปปส. ระบุว่า “แกนนำ กปปส.ทุกคนยืนยันว่าจะไม่ขอร้องให้มีการล้างผิดในรูปแบบใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างที่กระทำไปตัดสินใจดีแล้วผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก การปรองดองไม่มีใครปฏิเสธ แต่ไม่ควรมีใครเอามาเหมารวมกับการนิรโทษ หรือการล้างผิดรูปแบบอื่นๆ”
ขณะที่ “จตุพร พรหมพันธุ์” ซึ่งมีฐานะเป็น ประธาน นปช. ก็บอกว่า “ไม่ได้ทำผิดอะไร ทำไมจึงต้องสารภาพ และขอต่อสู้ในชั้นศาลเช่นเดิม”
ก็ไม่แปลกที่ทั้งสองฟากฝั่งจะคิดเช่นนี้ ในมุมของ กปปส. การจะรับหลักการเรื่องนี้เป็นไปแทบไม่ได้เลย เพราะต้องไม่ลืมว่าพวกเขาเกิดขึ้นมาจากการต้านกฎหมาย “นิรโทษกรรม” ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” หากพวกเขารับก็เท่ากับกลืนน้ำลายตัวเอง
ขณะที่ นปช. นอกจากยืนยันว่าพวกเขาไม่ผิดแล้ว ยังมองว่าการตั้งเงื่อนไขเช่นนำคดีปิดสนามบินมารวมกับคดีปิดสี่แยก เป็นการมุ่งหวังนิรโทษให้แก่อีกกลุ่ม เพราะคดีปิดสนามบินมองว่ามีโทษหนักตาม พ.ร.บ.ก่อการร้าย ต่างจากการปิดสี่แยกที่เป็นความผิดทางการเมือง
น่าสนว่ารัฐบาลจะขยับเรื่องนี้อย่างไร เพราะหากเอาจริงก็จะกลายเป็นเผือกร้อนอีกชิ้นที่ต้องรับมากอดเอาไว้
คำถามคือผู้ที่เสนอนั้นมีเจตนาอย่างไร เป็นการจุดกระแสเพื่ออะไร ต้องการสร้างชื่อเพ่ื่อหวังผลในอนาคตหรือไม่ โดยเฉพาะกับตำแหน่งที่จะมีในอนาคตจึงต้องปูทางเอาไว้
อย่างไรก็ตาม หากสิ่งที่เสนอมาจากความบริสุทธิ์ ก็เชื่อว่าเป็นความไร้เดียงสาอย่างยิ่ง เพราะถึงขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจอีกว่าความขัดแย้งมิได้อยู่เฉพาะกับแกนนำเท่านั้น ต่อให้ได้รับการนิรโทษและยอมที่จะหยุดเคลื่อนไหว แต่ความขัดแย้งฝังรากลึกอยู่ในคนตัวเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั้งสังคม เพราะนี่เป็นการขัดแย้งเชิงแนวคิดพื้นฐาน หากยังไม่เข้าใจ ต่อให้พยายามอย่างไรความปรองดองก็ไม่เกิดขึ้น
ข้อเสนอเรื่องนี้จึงไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้่น ไม่ว่ากับใคร ยกเว้นตัวผู้เสนอนั่นเอง
