ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160516/227718.html
การเมืองไทยหลังยุคบรรหาร : สำนักข่าวเนชั่น โดย จักรวาล ส่าเหล่ทู
หลังการจากไปของ บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของไทย ผู้มีฉายา “มังกรสุพรรณ” ก็มีการกล่าวขวัญถึงคุณงามความดีของเขา อีกทั้งยังมีการพูดถึงกรณีศึกษาเกี่ยวกับตัวเขามากมายถึงการบริหารงานที่ถูกอกถูกใจคนสุพรรณบุรี รวมถึงนำไปสู่กรณีศึกษาของอนาคตของพรรคชาติไทยพัฒนา ที่หลังจากนี้ไปว่าจะเป็นอย่างไร โดยในงานเสวนา “ประเทศไทยหลังยุคบรรหาร” ที่จัดโดยคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ก็ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวมาพูด โดยมีนักวิชาการร่วมวงมากมาย
บรรหารกับจิตวิทยาสังคมใน จ.สุพรรณบุรี
ดร.โยชิโนริ นิชิซากิ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ผู้ทำการวิจัยเรื่องการเมือง จ.สุพรรณบุรี ยุคนายบรรหาร ระบุว่า เมื่อพูดถึงนายบรรหารแล้ว เขามีลักษณะที่ขัดกันในตัวเอง คือคนกรุงเทพฯ ไม่ค่อยชอบ แต่คนสุพรรณบุรีกลับชอบ โดยตัวเขานั้นเกิดในครอบครัวพ่อค้า พออายุ 17 ปี เขาได้เข้ามาช่วยพี่ชายเปิดร้านกาแฟที่ถนนหลานหลวง หลังจากนั้นเขาก็ได้ก่อตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างขึ้นมา ซึ่งได้ประมูลงานกับกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้รับงานใหญ่สุดคือการวางท่อประปา 10 ปี ซึ่งช่วงนั้นอธิบดีกรมก็เป็นคนสุพรรณบุรีด้วย เป็นสุพรรณบุรีคอนเนกชั่น
ดร.โยชิโนริ กล่าวอีกว่า ชีวิตทางการเมืองของนายบรรหาร ก่อนจะเล่นการเมืองเป็นทางการ เรื่องราวจำนวนมากที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องของเครือข่าย ซึ่งเขานอกจากประสบความสำเร็จในการเป็นนักธุรกิจ กทม. แล้วยังได้กระจายรายได้ไปยังสุพรรณบุรี ด้วยการบริจาคตึกให้โรงพยาบาล สร้างโรงเรียนบรรหารแจ่มใส 4 แห่ง และเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุนลูกเสือชาวบ้าน ซึ่งเป็นขบวน โดยทั้ง 3 อย่างได้ทำในเวลาใกล้เคียงกัน และสิ่งที่น่าสนใจหลังจากนายบรรหารเข้าเล่นการเมืองแล้ว ในช่วงที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจจริงๆ จะเห็นได้ว่างบประมาณจำนวนมากลงไปที่ จ.สุพรรณบุรี
“การเมืองคุณบรรหาร อธิบายทั่วไปว่า ทำไมเขาถึงเป็นที่นิยมในพื้นที่ หากตอบได้ง่ายก็คือ เขาให้เยอะ แต่ตนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นจิตวิทยาทางสังคมที่มีต่อผู้มีสิทธิ์ออกเสียง ในการที่คนสุพรรณโหวตให้นายบรรหารนั้น ไม่ใช่เพราะเขาให้วัตถุเฉยๆ แต่เขาทำให้ภาพลักษณ์ของคนสุพรรณบุรีดูดีขึ้น จากเมื่อก่อนที่ดูด้อยและกันดาร จนปัจจุบันนี้เห็นได้ชัดว่า จ.สุพรรณบุรี พัฒนาไปไกลกว่าจังหวัดรอบข้างมาก ซึ่งป็นประเด็นทางด้านจิตวิทยา เป็นการเมืองแบบสร้างความเป็นจังหวัดนิยม” นักวิชาการชาวญี่ปุ่นกล่าว
ทั้งนี้ ดร.โยชิโนริกล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งน่าสนใจที่ว่า เมื่อนายบรรหารจากไปแล้ว การเมืองของ จ.สุพรรณบุรี จะเปลี่ยน โดยจะไม่มีคนที่มีอิทธิพลอย่างบรรหารอีก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะกุมเสียงได้ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 มีเหตุการณ์ยุบพรรคชาติไทย ทำให้เครือข่ายคนสนิทของบรรหารถูกตัดออกจากการเมือง เมื่อนายบรรหารตั้งพรรคใหม่ขึ้นก็ไม่ได้มีคนสกุลเดียวกันกับเขาที่เข้ามาเป็น ส.ส.สุพรรณบุรี จากนั้นก็โดนเจาะฐานเสียงโดยพรรคเพื่อไทย สิ่งที่จะเห็นใน จ.สุพรรณบุรี ต่อไป จะเกิดการกระจัดกระจายของเสียง และจะได้เห็นการต่อสู้ของคนหลายๆ กลุ่ม แต่สิ่งที่ต้องระวังกันและจดจำกันไว้คือ ทุกคนใน จ.สุพรรณฯ ได้จดจำบรรหารในฐานะผู้ที่นำการพัฒนาสู่ท้องถิ่น และไม่ได้เป็นการเมืองแลกเปลี่ยนแบบอุปถัมภ์แบบธรรมดา หากแต่ทำงานในจิตใจของผู้คนด้วย
ปัจจัยที่เอื้อต่อการเกิดผู้มีอิทธิพล
ด้าน ผศ.เวียงรัฐ เนติโพธิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ว่า สำหรับกรณีนายบรรหารนั้น ที่ชาวบ้านยอมรับและยินดีให้สร้างอนุสาวรีย์ ก็เป็นอิทธิพลที่ทรงพลังในตัวคนนั้น ผู้มีอิทธิพลจึงไม่ได้มีความหมายแง่ลบเสมอไป ขณะนี้โครงสร้างทางการเมืองมีความสำคัญ ซึ่งมองได้จากลักษณะ 4 ประการ โดยประการแรกคือ เรื่องระบอบทางการเมือง เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะนายบรรหารเองก็โตมากับระบอบประชาธิปไตยเช่นเดียวกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แต่ว่าประชาธิปไตยในยุคของนายบรรหารนั้นเป็นระดับรัฐสภา ที่ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งและการเมืองระดับชาติ ซึ่งกลไกหลายๆ อย่างยังคงไม่ได้เป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ เช่น เรื่องนโยบายสาธารณะที่ไปรวมศูนย์อยู่จุดหนึ่ง ซึ่งระบบนี้เองได้เอื้อให้เกิดคนแบบกำนัน พ่อเลี้ยง เป็นบุญคุณที่สำคัญกว่าบัตรเลือกตั้ง จึงกลายเป็นว่า คนที่จะประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งจึงใช้โครงสร้างนี้
ประการที่ 2 คือ คุณลักษณะของรัฐ ในด้านปฏิสัมพันธ์กับสังคม อย่างกรณีที่รัฐได้ออกนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ทำให้รัฐมีความใกล้ชิดกับประชาชน ซึ่งก็ทำให้นายบรรหารก็อาจจะไม่ค่อยสำคัญแล้ว ในแง่ที่ว่า ในการอำนวยสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน แต่จะสำคัญในแง่ของการวางนโยบายให้ดี เพื่อแข่งกับพรรคอื่นๆ ดังนั้นถ้ารัฐให้บริการประชาชนดีมากขึ้น คนที่มีบารมีนอกภาครัฐก็จะไม่มีความหมาย
ประการที่ 3 คือ ลักษณะของอุดมการณ์ ในตัวคนที่ประชาชนให้ความเคารพ หรือผู้มีอิทธิพล โดยทั่วไปแล้วคนกลุ่มนี้มักสนับสนุนแนวคิดแบบอนุรักษนิยมรวมศูนย์อำนาจ ซึ่งตัวนายบรรหารเองก็มีแนวคิดดังกล่าว มีความเป็นท้องถิ่นนิยม และประการที่ 4 เรื่องของภาคประชาชน การที่ผู้มีอิทธิพลจะมีความหมายได้ก็ต้องเกิดจากการที่ภาคประชาชนจำนวนมากต้องด้อยโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรสังคม ทั้งนี้จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เมื่อย้อนมาดูร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะทำประชามติแล้ว ความเป็นประชาธิปไตยที่ถูกจำกัดให้แคบลง กลไกของรัฐถูกทำให้รวมศูนย์ อุดมการณ์ถูกทำให้เอียงแบบอนุรักษนิยม ต่อให้ประชาชนมีความรู้ที่เพิ่มขึ้น มีการศึกษาดีขึ้น ก็ไม่อาจทัดทานผู้มีบารมีได้ และเราก็อาจจะได้เห็นเครือข่ายใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก็ได้ เพื่อประโยชน์ของกลุ่มตัวเอง ซึ่งอาจมีวิธีแตกต่างจากนายบรรหารเคยทำก็ได้ ต้องติดตามกันต่อไป
อนาคตของพรรคขนาดกลาง “ชาติไทยพัฒนา”
ด้าน นิกร จำนง แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงนายบรรหารว่า ความพิเศษของเขาคือเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนและคนในแวดวงการเมืองอย่างกว้างขวาง จะเห็นได้ว่ามีอดีตนายกรัฐมนตรี และแกนนำกลุ่มการเมืองฝ่ายต่างๆ เข้าร่วมงานศพของท่านด้วย ทั้งนี้เดิมทีเวลาพวกเราหาเสียงมักถูกโจมตีว่า พรรคของนายบรรหารเอาแต่ จ.สุพรรณบุรี เป็นหลัก ซึ่งตนได้พูดกับนายบรรหารว่า เราควรจะต้องทำให้ประเทศไทยเป็นเหมือน จ.สุพรรณบุรี และด้วยหลักการนี้เอง เมื่อนายบรรหารได้เป็นนายกฯ พื้นที่แรกที่ไปเยือนคือ จ.สงขลา ก็ได้ไปทำถนนให้ชาวบ้าน รวมถึงการสร้างหอประชุมขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งท่านได้บินไปกลับทุกอาทิตย์ เป็นต้น ด้วยหลักการเดียวที่ทำกับสุพรรณบุรี ด้วยหลักการบริหารเช่นนี้ คือการพัฒนาท้องถิ่นแบบสังคมไทย
“ขณะนี้กระแสของพรรคเพื่อไทยมาแรงมาก จนเราต้านไม่อยู่ แต่โดยองค์รวมแล้วพรรคของนายบรรหารออกมาจาก จ.สุพรรณบุรี ที่เป็นถิ่นต้นกำเนิดอย่างสิ้นเชิง โดยฐานจริงๆ ของพรรคชาติไทยอยู่ที่ กทม. และแม้ว่าพรรคจะเปลี่ยนชื่อเป็น พรรคชาติไทยพัฒนา แต่ป้ายชื่อพรรคใหม่นั้นก็ครอบป้ายชื่อพรรคเก่า ส่วนโลโก้ก็คล้ายเดิม กล่าวคือจิตวิญญาณวิธีคิด การดำเนินนโยบายต่างๆ ล้วนท่านบรรหารได้ใส่ไว้เยอะ และอยู่ในตัวของลูกพรรค และตัวผม และนี่คือสิ่งที่เรารักษา สิ่งที่นายบรรหารทำไว้ไม่ได้ไปพร้อมกับท่าน เพียงแต่เราต้องมาคิดกันว่าจะสานต่ออย่างไร” นิกรกล่าว
ความเป็นพรรคต่อจากนี้ ขอยืนยันว่า พวกเราได้วิธีการทำงานจากท่าน เรื่องพรรคเราก็ทำกันต่อ อย่างไรก็ดี มีอดีต ส.ส.ในประเทศนี้เคยเป็นคนในพรรคชาติไทยเกินครึ่งหนึ่ง ซึ่งความรุนแรงของการเมือง 10 กว่าปีที่ผ่านมา มันรุนแรง ถ้าใครอยากมีที่ร่วมพักพิง บ้านเดิมของท่านนั่นแหละร่มเย็นที่สุด เพราะเราไม่เคยขัดแย้งกับใคร ซึ่งเราได้แบบอย่างจากนายบรรหารที่เป็นมิตรกับทุกคน และถ้าจะห่วงว่าพรรคชาติไทยพัฒนาจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น แม้จะขาดผู้นำที่เข้มแข็ง แต่สิ่งที่เขาได้สร้างไว้จะยังคงอยู่ต่อไป
