ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160521/228037.html
ติวเข้ม‘ครู ก.’สร้างพลังทัพหน้า ปูพรมเผยแพร่สาระร่างรธน.ทั่วประเทศ : ขนิษฐา เทพจร สำนักข่าวเนชั่น รายงาน
เสร็จสิ้นไปแล้ว สำหรับ “การอบรมวิทยากรกระบวนการระดับจังหวัด หรือ ครู ก.” ซึ่งจัดโดยกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เพื่อติวเข้มวิทยายุทธ์ความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับสาระสำคัญในร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ
เรียกได้ว่า การติวเข้ม-เตรียมความพร้อม เมื่อวันที่ 18-19 พฤษภาคม ให้แก่วิทยากรระดับจังหวัดทั้ง 477 คน ซึ่งมาจากผู้แทนหน่วยงานราชการ ทั้ง 76 จังหวัด จังหวัดละ 1 คน รวม 380 คน, ผู้แทนราชการใน กทม. 20 คน, สมาชิกสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ทั้ง 77 จังหวัด จังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน อยู่ในระดับที่ “คนทำร่างรัฐธรรมนูญ” พอใจและมั่นใจได้ว่า วิทยากรระดับจังหวัดที่ถูกยกให้เป็นแม่ทัพ-นำสาร จะนำข้อมูลไปบอกต่อยังประชาชนให้รับทราบถึงเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และนำสิ่งที่รู้ไปตัดสินว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญได้ด้วยดุลพินิจของตนเองได้
สำหรับภาพรวมของการอบรมทั้ง 2 วัน เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งในส่วนของการแจกแจงเนื้อหาโดยรวม และส่วนของการทบทวนความเข้าใจต่อเนื้อหา รวมถึงสร้างคำถามสมมุติที่คิดว่าจะประชาชนจะสงสัย
แต่แม้ภาพรวมจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่เมื่อเจาะลึกในกระบวนการของ “วิทยากรระดับจังหวัด” รายกลุ่มจังหวัด รายละเอียดของคำถามที่ “กรธ.” ยังยากจะตอบด้วยความชัดเจน หรือยกเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญมาอธิบายความให้กระจ่างได้ เพราะคำถามสมมุตินั้น ได้ยกเนื้อความในร่างรัฐธรรมนูญผูกเข้ากับวิถีปฏิบัติและผลที่จะเกิดตามมาหลังกติกาใหม่บ้านเมืองถูกบังคับใช้
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “วิทยากรจังหวัด” คือ ตัวแทนกลุ่มอาชีพในพื้นที่, นักการศึกษา, นักปกครอง และผู้สนใจประเด็นการเมือง ดังนั้นการทำความเข้าใจในเนื้อหา ก่อนส่งต่อไปยังประชาชน ย่อมต้องถามเพื่อถอดภาษากฎหมายเป็นแนวทางปฏิบัติ ซึ่งมีหลายประเด็นที่พบว่า “บทบัญญัติของร่างรัฐธรรมนูญ” ไม่สามารถตอบโจทย์บางเรื่องได้อย่างสมราคาคุย
เช่น ในกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ผู้แทนวิทยากรจาก จ.เพชรบูรณ์ ถามต่อเรื่องสิทธิ เสรีภาพประชาชน ที่ตามบทบัญญัติของร่างรัฐธรรมนูญให้สิทธิและเสรีภาพประชาชนอย่างเต็มที่ ทุกเรื่อง เว้นแต่บางเรื่องที่กฎหมายห้ามไว้ แต่ช่วงที่ผ่านมาก่อนร่างรัฐธรรมนูญใหม่บังคับใช้ พบว่ารัฐออกกฎหมายจำกัดสิทธิหลายประเด็น ดังนั้นเสรีภาพที่กติกาใหม่ให้อาจไม่ใช่สิทธิที่ประชาชนทำได้ ส่วนคำตอบที่ “กรธ.” ให้ไว้ กลับกลายเป็นการยอมรับซึ่งจุดอ่อนในกระบวนการรัฐสภา ที่ขาดการติดตามกฎหมายเก่าที่มีเนื้อหาขัดกับรัฐธรรมนูญ พร้อมกับบอกให้วิทยากรมีความหวัง ตราบใดที่ยังมี “สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทส” ประเด็นข้อกังวลอาจถูกต่อยอดเป็นกระบวนการและแผนปฏิรูปประเทศ
ส่วนประเด็นที่ถูกตั้งคำถามจำนวนมากและอาจกลายเป็นเรื่องสืบเนื่อง โดยวิทยากรกลุ่มจังหวัดส่วนใหญ่คาดคะเนตรงกันว่า เรื่องสิทธิด้านการศึกษา การสนับสนุนการศึกษาด้วยกองทุนของรัฐ จะถูกซักถามจำนวนมาก เพราะประเด็นดังกล่าวกลายเป็นข้อกังวลของผู้ปกครองว่า เมื่อร่างรัฐธรรมนูญปรับการศึกษาให้เรียนฟรี ระดับก่อนวัยเรียนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 จะทำให้ผู้ปกครองต้องจ่ายเงินเองในส่วนที่รัฐไม่คุ้มครอง โดยแนวทางที่ “กรธ.” ชี้แนะตรงกันคือ แนวคิดของการเขียนบทบัญญัติเพื่อปรับแนวทางให้รัฐจัดการศึกษาที่ครบถ้วนและพัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ และย้ำว่า ร่างรัฐธรรมนูญไม่ปิดกั้นโอกาสการศึกษาต่อ เพราะเปิดทางให้รัฐบาลทำนโยบายส่งเสริมการศึกษาทางเลือกเพิ่มเติมได้
ขณะที่ประเด็นเกี่ยวเนื่องกับการศึกษา มีวิทยากรถามหาหลักประกันในร่างรัฐธรรมนูญที่รับรองเด็กจบใหม่มีงานทำทุกคน และเมื่อร่างรัฐธรรมนูญบังคับใช้ปัญหา “แป๊ะเจี๊ยะ” จะหมดไปหรือไม่ ซึ่ง “กรธ.” ที่ชี้แจงพูดทีเล่นทีจริงว่า จะบอก คสช.ให้ และขอให้ใจเย็นไว้ก่อน พร้อมขอความร่วมมือวิทยากรจังหวัดร่วมสนับสนุนงานปฏิรูป
นอกจากนั้นในประเด็น “การปกครองท้องถิ่น” ยังเป็นหนึ่งในหัวข้อที่วิทยากรกลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่างซักถามถึงบทปฏิบัติที่เนื้อหากำหนด โดยเฉพาะที่มาของ “ผู้บริหารท้องถิ่น” ที่ร่างรัฐธรรมนูญเปิดช่องให้มาได้จากการเลือกตั้งทางตรง คือ ประชาชนลงคะแนนเลือกผู้บริหารเข้ามาทำหน้าที่ หรือเลือกตั้งทางอ้อม ที่ให้สมาชิกสภาท้องถิ่นเป็นผู้ลงคะแนน และอนาคตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ร่างรัฐธรรมนูญเปิดช่องให้ “ยุบ”
คำตอบที่ได้จาก “กรธ.” คือแนวทางใดๆ ที่เกิดในท้องถิ่น เช่น ที่มาของผู้บริหารสูงสุด หรือการยุบองค์กรท้องถิ่นขึ้นอยู่กับความต้องการของของประชาชนในท้องที่เป็นสำคัญ
โดยคำตอบในหลายประเด็นกลับไม่อ้างอิงเนื้อหาตามลายลักษณ์อักษร และหลายครั้งคำถามของวิทยากรถูกต่อยอดเป็นความกังวล ทำให้ “กรธ.” แนะการตอบคำถามว่า “ภาคปฏิบัติต่อจากรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ และกฎหมายระดับรองที่จะเกิดหลังจากนี้” ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะตัดความยาวที่จะสาวความต่อของบทวิพากษ์ในรายละเอียดที่อาจกลายเป็นข้อขัดแย้งระหว่างวิทยากรและคนฟังได้
ขณะที่ข้อสงสัยต่อกติกาทางการเมือง เป็นอีกประเด็นที่ “วิทยากรหลายกลุ่มภาค” สมมุติคำถาม เพราะ “กรธ.” รื้อกติกาเลือกตั้งแบบเดิม และคิดขึ้นใหม่ ทั้งการเลือก ส.ส.ด้วยบัตรใบเดียว, ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ในมุมมองที่ว่า สิทธิเลือกผู้แทนที่ตรงนั้นถูกทำให้ลดลงจากเดิม และกรณีที่ไม่ชอบ ส.ส.เขต แต่ชอบพรรคการเมือง จะกาคะแนนอย่างไร
คำตอบที่ได้ คือ สิทธิเลือกตั้งของประชาชนไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิม แต่ที่เปลี่ยนคือวิธีการได้มา ซึ่งการปรับให้ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว เพื่อเป็นภาคบังคับให้พรรคการเมืองคัดคนมีคุณสมบัติและประชาชนชอบมาลงสมัครรับเลือกตั้ง เช่นเดียวกันกับระบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ต้องการความเป็นธรรมกับพรรคการเมืองตามความนิยมของประชาชน
แต่คำตอบของคำถามเรื่องการใช้สิทธิออกเสียงเลือก “ส.ส.” ยังเป็นปมคาใจกว่าเดิม เช่นเดียวกับคำถามต่อเรื่องความเชื่อถือในระบบประชาธิปไตย ที่บทเฉพาะกาลยังเขียนหน้าที่ให้ “คสช.” มีสิทธิคัดเลือก ส.ว.ชุดแรกได้ แม้คำอธิบายจะถูกโฟกัสว่า เพื่อประโยชน์ต่อการบริหารประเทศช่วงเปลี่ยนผ่านและการปฏิรูป แต่โจทย์ของการต่อท่ออำนาจยังไม่ถูกเคลียร์ให้กระจ่าง จึงมีคำบ่นของวิทยากรในภาคเหนือปิดท้ายสั้นๆ ว่า “เป็นประชาธิปไตยตรงไหน?”
ในบทสรุปส่งท้ายจากปรากฏการณ์ที่พบว่า “วิทยากรบางคน” ยังมีอคติต่อระบบการเมืองปัจจุบัน และบางคนยังผูกติดความคิดและวิธีทำงานด้วยกติกาเก่า ทำให้ “กรธ.” กังวลว่า งานที่หมายมั่นอาจไม่บรรลุผลที่คาดหมาย แม้ “มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.” จะพูดวิงวอนก่อนปิดการอบรม ให้ “วิทยากรระดับจังหวัด” ละทิ้งความชื่นชอบในพรรคการเมืองและทัศนคติทางการเมืองไว้ และอย่าใช้ความเห็นส่วนตัวต่อร่างรัฐธรรมนูญไปชักจูงหรือโน้มน้าวประชาชนให้ออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในทางใดทางหนึ่งก็ตาม
นับจากนี้ต้องติดตามในกระบวนการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญไปยังวิทยากรระดับอำเภอ และระดับหมู่บ้าน ว่า สามารถทำงานได้เต็มศักยภาพแค่ไหน เพราะเชื่อว่าการชี้แจงในระดับพื้นที่ย่อมต้องเจอกับผู้ที่มีกำแพงใจ คือ ไม่ชอบรัฐบาล ซึ่งส่งผลต่อการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญด้วย และถือว่าเป็น “งานหิน” ที่หาทางเอาชนะได้ยากยิ่ง


