ทำไมบิ๊กตู่ต้องปิดเหมืองทอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160511/227422.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2559
ทำไมบิ๊กตู่ต้องปิดเหมืองทอง

ทำไมบิ๊กตู่ต้องปิดเหมืองทอง

           สร้างเซอร์ไพรส์พอสมควร สำหรับมติคณะรัฐมนตรีไม่พิจารณาต่อใบอนุญาตการทำสัมปทานเหมืองแร่ทองคำ หลังจากชาวบ้านในพื้นที่ผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองได้ต่อสู้กันมานานนับสิบปี เพราะเหตุใดรัฐบาลจึงมีมติเช่นนั้น “สมลักษณ์ หุตานุวัตร” ได้นำเสนอข้อมูลเอาไว้อย่างละเอียดใน นสพ.คม ชัด ลึก

“แร่ทองคำ” ทรัพย์สมบัติคู่บ้านคู่เมืองที่เป็นมรดกตกทอดของชนชาวไทยมาตั้งแต่วันสร้างชาติเมื่อ 700 ปีที่ผ่านมา จวบจนปัจจุบันทองคำบริสุทธิ์ใต้ผืนดินไทยยังคงเหลืออยู่เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 700 ตัน (รายงานข่าวกรมทรัพยากรธรณี https://app.box.com/s/pkfqyiwre5jwsq7tf6q8eeli7aqj22mw)

ความจริง การสำรวจและได้สิทธิ์ขาดในการทำเหมืองในไทย มีปัญหานับแต่กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 และพ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งทำให้ประเทศเสียเปรียบอย่างร้ายแรง เป็นการใช้จุดอ่อนของกฎหมายเพื่อเปิดทางให้ต่างชาติได้รับข้อยกเว้นสำคัญหลายประการ

ส่วนหน่วยงานที่ถือว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา หน่วยงานแรกที่ต้องกล่าวถึงคือ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยในสมัยที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อันเป็นช่วงของการออกประทานบัตร ได้ลดค่าภาคหลวงทองคำจากร้อยละ 10 ให้เหลือเพียงร้อยละ 2.5 จนกระทั่งปี 2550 จึงมีการเปลี่ยนเป็นอัตราก้าวหน้า เป็นร้อยละ 2.5-20 แต่ในความเป็นจริงเหมืองทองคำไม่เคยจ่ายค่าภาคหลวงให้รัฐเกินร้อยละ 10 มิหนำซ้ำยังไม่ต้องจ่ายภาษีตามสิทธิบีโอไอด้วย

ต่อมาใน ยุค คสช. ปี 2557-2558 กรรมการเหมืองแร่ทองคำได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล หลังจากลาออกจากกรรมการเหมืองเพียง 7 วัน และได้เสนอนโยบายขยายเหมืองแร่ทองคำไปอีก 12 จังหวัด จนเป็นเหตุให้เกิดการเดินขบวนประท้วงของชาวบ้าน และนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการระดับชาติตรวจสอบข้อเท็จจริง ผลกระทบจากการทำเหมืองทองคำ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ

หน่วยงานที่สอง คือ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ หรือ “กพร.” ผู้มีอำนาจตัดสินใจรับผิดชอบการออกประทานบัตรและใบอนุญาตประกอบโลหกรรม เป็นหน่วยงานที่จะได้รับเงินอุดหนุนพิเศษตลอดอายุประทานบัตรรวมเป็นเงินไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้แก่ข้าราชการของ กพร.เพียงกรมเดียว ย่อมถือว่าเป็นประโยชน์ต่างตอบแทนโดยนัย หรือเป็นสินบนที่ถูกกฎหมายนั่นเอง

หน่วยงานอื่นๆ ไม่ว่า กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กรมควบคุมโรค กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และสถาบันการศึกษาหลายแห่ง ฯลฯ หน่วยงานรับผิดชอบล้วนทำงานด้วยความกลัว เขียนรายงานสรุปให้ดูน้ำหนักการปนเปื้อนอ่อนลงจากรายงานของห้องปฏิบัติการ และจำกัดตนในขอบเขตที่แคบสุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้พ้นไปจากการถูกฟ้องจากทั้งฝ่ายบริษัทและประชาชนผู้เดือดร้อนเสียหาย แม้จะพบว่ามีการสร้างโรงงานประกอบโลหกรรมก่อนได้รับอนุญาต ซึ่งมีหลักฐานส่อให้เห็นว่าจงใจทำผิดกฎหมาย โดยยอมเสียค่าปรับเนื่องจากอัตราโทษต่ำมาก (สรุปรายงานผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียน เมื่อ 2552 โดย กมธ. วุฒิสภา https://app.box.com/s/7d6hq89719n10k3dsoz1un0tckgkx658)

ส่วนหน่วยงานที่ตรวจสอบและจัดทำรายงาน การพบสารพิษปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมรอบเหมืองทองคำ ที่ต้องเสนอรายงานอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับการพบสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน ก็พบว่ารายงานท้ายเอกสารแทบทุกฉบับตลอดหลายปี มักบอกว่าไม่สามารถตรวจวัดไซยาไนด์ เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนเครื่องมือในการตรวจ

จนที่สุดเมื่อ พ.ศ.2552 จึงถูกสั่งให้เลิกปฏิบัติหน้าที่ (สำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เขต 3 เชียงใหม่ ถูกสั่งให้เลิกตรวจสิ่งแวดล้อมรอบเหมืองทอง และโอนงานที่เกี่ยวกับเหมืองทองทั้งหมดไปยังเขต 5 โดยไม่มีภารกิจในการตรวจเหมืองทองคำต่อไปแต่อย่างใด)

ในรายงานการตรวจคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แม้จะมีรายงานการปนเปื้อนสารพิษในสิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ พืช หรือมีค่าโลหะหนักเกินมาตรฐานมากบ้างน้อยบ้าง (สารเคมีที่ใช้ในการทำเหมืองแร่ทองคำ และรายงานการปนเปื้อนสารพิษในสิ่งแวดล้อมเหมืองทองคำ https://app.box.com/s/xh7dcmyy7r87ty8r35mb5jiq0k3b7efo)

ประชาชนต้องรับบริจาคน้ำดื่มน้ำใช้ พืชผักในการประกอบอาหาร

และแม้จะมีรายงานการพบสารโลหะหนักในร่างกายของประชาชนเกินค่ามาตรฐานครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังไม่ก่อให้เกิดการระงับยังยั้งการแพร่กระจายของแหล่งมลพิษ ทั้งๆ ที่ผู้ประกอบการในพื้นที่นั้นมีเพียงรายเดียว นั่นเพราะหน่วยงานของรัฐจำนนต่อข้ออ้างของเหมืองว่า สารพิษต่างๆ นั้น เป็นเพื่อนแร่ ซึ่งย่อมมีอยู่แล้วในพื้นที่ที่มีทองคำ จึงเป็นธรรมดาที่จะตรวจพบ โดยไม่ตระหนักว่า หากไม่มีการไปรบกวนด้วยการระเบิดและทำเหมืองในพื้นที่กว่า 7,200 ไร่ สารพิษเหล่านั้นก็ยากที่จะเข้าสู่ร่างกายคน ดิน น้ำ และพืชผักริมรั้ว

รายงานล่าสุดพบว่า ประชาชนรอบพื้นที่กว่าร้อยละ 55 และเด็กถึงร้อยละ 63 มีสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานตามผลการตรวจเลือดครั้งสุดท้ายจำนวน 1,004 คน ในปี 2558 (แถลงผลตรวจเลือดศาลากลางจังหวัดพิจิตร 10 มีนาคม 2559 https://app.box.com/s/7bc7xbmj2uydimgz066t53qjmgup7z8q)

ในขณะที่ปรากฏการณ์ทางกายภาพ พบว่าประชาชนและเด็กในพื้นที่รอบเหมืองทองคำ เกิดทุกขภาวะ มีสภาพร่างกายที่ผิดปกติ เด็กๆ มีการเจริญวัยที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

นี่เอง จึงนำมาสู่ข้อเสนอที่ว่า รัฐบาลควรปฏิรูปการบริหารจัดการเหมืองแร่ทองคำ พร้อมข้อเรียกร้องให้ไม่ต่อใบอนุญาตให้แก่ บริษัท อัคราฯ ที่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 13 พฤษภาคม 2559

Leave a comment