‘บิ๊กตู่’เปรียบประชารัฐเหมือยปุ๋ยคอกเหน็บประชานิยม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160516/227748.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม 2559
‘บิ๊กตู่’เปรียบประชารัฐเหมือยปุ๋ยคอกเหน็บประชานิยม

‘บิ๊กตู่’เปรียบประชารัฐเหมือยปุ๋ยคอก เหน็บดีกว่าประชานิยมที่ฉาบฉวย

            16พ.ค.2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เขียนบทความจากใจนายกรัฐมนตรี ลงจดหมายข่าวรัฐบาล ฉบับวันที่ 15 พฤษภาคม ว่า หากเปรียบประเทศเป็นมนุษย์ 1 คน ในการขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางประชารัฐนั้น ภาคประชาชนเปรียบเสมือนร่างกายและจิตใจ ที่ควรได้ทำในสิ่งที่ตนรักและต้องการ มีภาครัฐเป็นมันสมอง ช่วยขบคิดครบวงจรเพื่อตอบสนองความหวังดีและตั้งใจ ไม่คิดแทน ไม่ยัดเยียด ไม่เบียดบัง โดยมีภาคเอกชน ทำหน้าที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ทั้งระบบกล้ามเนื้อ ระบบเลือด ระบบประสาท ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร ฯลฯ ที่เชื่อมโยงสมอง ร่างกาย จิตใจ ให้ทำงานสอดประสานกันเหมือนดั่ง 3 ภาคส่วน ที่เติมเต็มกันเพื่อประเทศชาติมีความสมบูรณ์แบบนั่นเอง

ที่มาประชารัฐ คือการแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต ถ้าประชานิยม คือปุ๋ยอนินทรีย์ ปุ๋ยเคมี ที่ไม่บำรุงดิน ทิ้งสารพิษตกค้าง และมีราคาแพงแล้ว ประชารัฐคือปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ที่ปรับโครงสร้างดิน เพิ่มธาตุอาหารในดิน รักษาสมดุลทางธรรมชาติ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ถ้าประชานิยมคือการแก้ไขปัญหาที่ฉาบฉวย เพราะชาวนายังคงทำนาที่ดินของนายทุนและนายทุนกลับทำนาบนหลังคน ประชารัฐคือการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนตามหลักของเศรษฐกิจพอเพียง เพราะงบประมาณรัฐไม่ถูกใช้เพียงเพื่อสร้างรอยยิ้มบนคราบน้ำตา เวลาผ่านไปไม่นานก็ต้องมานั่งกอดเข่า กุมขมับกันอีก แต่ถูกบริหารอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างความสุขที่ยั่งยืนและสร้างความเข้มแข็งให้ยืนบนลำแข้งของตัวเอง

ที่ไปประชารัฐ คือการสร้างอนาคตที่สดใส หากคำถามแรกคือทำอย่างไร….ให้ทั้ง 3 ส่วนสามารถทำงานร่วมกันได้ คำตอบคือ “การรวมพลังความเหมือนบนความแตกต่าง” โดยความเหมือนคือ 1.วิสัยทัศน์เดียวกันในการสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน 2.เป้าหมายเดียวกัน ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และความแตกต่างคือ 1.ภาครัฐมีอำนาจ มีเครื่องมือ บริหารงานตามกรอบของกฎหมาย ดังนั้นต้องมองประชาชนเป็นศูนย์กลาง ต้องมีธรรมาภิบาล 2.ภาคเอกชนและภาควิชาการมีองค์ความรู้ ประสบการณ์ ความสำเร็จ เทคนิคการทำงานและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ดังนั้นต้องมองผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ต้องมีจิตสาธารณะ หากรัฐมั่นคง ธุรกิจก็มั่งคั่ง 3.ภาคประชาชนต้องมีพลัง มีความหวังซึ่งต่อไปต้องพัฒนาเป็นภาคประชาสังคม ที่มีจิตสำนึกร่วมกัน มีโครงการทำงานที่ทุกคนมีหุ้นส่วนและมีเครือข่ายเชื่อมโยงภายใต้การระเบิดจากข้างใน และความรู้ รัก สามัคคี  ตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของพ่อหลวง

และคำถามสุดท้ายคือ ประชารัฐขับเคลื่อนประเทศได้อย่างไร คำตอบคือ 1.ระดับประเทศมีคณะทำงานสานพลังประชารัฐ 12 คณะ 1.ระดับจังหวัดมีบริษัทประชารัฐรักสามัคคี จำกัด 76 จังหวัด 3.คณะทำงานร่วมรัฐ เอกชน ประชาชน ตามภารกิจ อาทิ ร้านค้าประชารัฐสุขใจ โรงเรียนประชารัฐ กลุ่มสหกรณ์ประชารัฐ บ้านประชารัฐ ฯลฯ เป็นเวทีให้ไตรภาคีรวมพลังประชารัฐ เดินหน้าประเทศไทย โดยกุญแจสู่ความสำเร็จในการทำงานเป็นทีมประเทศไทย 3 ประสานคือ ลดความหวาดระแวงและเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันให้ได้

Leave a comment