ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160516/227722.html
ปรองดอง=ต่อรอง+เกี้ยเซียะ? : ขยายปมร้อน สำนักข่าวเนชั่น โดย ขนิษฐา เทพจร
ทำไม? ความพยายามเพื่อให้เกิดความปรองดอง ระหว่างผู้ร่วมวงแข่งขันเกมการเมือง ถูกยกมาบนโต๊ะ และกางแผ่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และการชี้ชะตา “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
หากจำได้ในห้วงของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” เป็นประธาน จะเข้าสู่การโหวตของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แผนงานเพื่อสร้างความปรองดอง จัดทำโดย “คณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง” ที่มี “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” เป็นประธาน ถูกตีแผ่สู่สาธารณะ โดยมีไฮไลท์คือ “การสร้างความปรองดองด้วยกระบวนการยุติธรรมทางเลือก คือ นิรโทษกรรม คดีที่มูลเหตุจูงใจทางการเมือง ยกเว้นการกระทำความผิดทางอาญาโดยเนื้อแท้, ความผิดฐานทุจริตคอร์รัปชั่น, ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง”
เฉกเช่นเดียวกับระหว่างการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มี “มีชัย ฤชุพันธุ์“ เป็นประธาน ร่างข้อเสนอปรองดองด้วยอำนาจพิเศษปลดล็อกความคับข้องใจของ “ผู้ต้องหาคดีการเมือง” ของ “คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)” ที่มี “เสรี สุวรรณภานนท์” เป็นประธาน ถูกนำเสนอสู่สังคม โดยไฮไลท์ร่างข้อเสนอ คือ การใช้อำนาจของรัฏฐาธิปัตย์ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ถอนฟ้องผู้ถูกดำเนินคดีที่สืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งมีลักษณะความผิดไม่ร้ายแรง
นั่นอาจแปลความได้ว่าต้องการสร้างกลไกช่วยฝ่ายการเมืองที่ถูกอีกฝ่ายการเมืองซึ่งถือไพ่เหนือกว่า ณ ขณะนั้นยัดข้อกล่าวหา โดยไร้หลักฐาน
และสำหรับผู้ถูกดำเนินคดี ที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งเข้าสู่ระบบศาลยุติธรรม หากรับสารภาพ ให้ใช้ “ตัวช่วย” ที่อาจมาในรูปแบบพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) หรือพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่า ด้วยการรอการกำหนดโทษ เพื่อลัดขั้นตอนส่วนที่ต้องถูกจองจำ เพราะในกระบวนการยุติธรรมปกติ เมื่อผู้กระทำผิดรับสารภาพแล้ว ปลายทางก็คือการเข้าไปนอนในซังเต
แต่ก่อนแผนปรองดองของ “คณะกรรมาธิการฯ การเมือง สปท.” จะเข้าสู่กระบวนการนำเสนอและปฏิบัติอย่างเป็นทางการ พบว่าเกิดความไม่พอใจในเส้นทางลัดปรองดองมาจาก “องค์รัฏฐาธิปัตย์” ทำให้ร่างข้อเสนอปรองดองด้วยอำนาจพิเศษนั้นถูกพับเก็บใส่กล่อง
และเช่นเดียวกันกับแผนงานปรองดองด้วยนิรโทษกรรมของคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองที่แม้จะสลายตัวไปพร้อมกับ “สภาปฏิรูปแห่งชาติ” แต่ผลการศึกษานั้น ถูกโยนขึ้นหิ้งของสารบบ “คณะรัฐบาล” แล้วแต่ยังไม่มีความเป็นรูปธรรม
เหตุผลสำคัญที่แผนปรองดองด้วยการนิรโทษกรรม และร่างข้อเสนอปรองดองด้วยอำนาจพิเศษ ถูกทำให้แท้ง เป็นเพราะว่า ไม่ผ่านการเจรจาของแกนนำทางการเมืองและผู้มีอำนาจบางฝ่าย โดยในวันที่แผนปรองดองด้วยการนิรโทษกรรมถูกเผยแพร่ เบื้องหลังข้อสรุปตามแผนถูกเปิดเผย โดยคณะทำงาน ว่า “นำแนวทางหารือกับทุกพรรค ทุกฝ่ายทางการเมือง เสียงส่วนใหญ่เห็นชอบด้วยและพร้อมเข้าสู่กระบวนการ แต่มีเพียงเสียงเดียวจากพรรคการเมืองเก่าแก่ ที่ต่อให้เสนอแนวทางอะไรไป ไม่ยอมรับทั้งสิ้น และยืนยันว่าต้องให้คนหนุนหลังรับโทษทัณฑ์เท่านั้น”
นั่นหมายถึง… บางฝ่ายที่ไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการต่อรอง เพราะเขามองว่าการปรองดอง คือ การเกี้ยเซียะกัน ซึ่งในระบบยุติธรรมสากล นั้นไม่เป็นที่ยอมรับ!!
ทำให้การนิรโทษกรรมที่หวังเป็นตัวช่วยจัดการความขัดแย้งทางการเมือง ถูกทิ้งบนหิ้งจนถึงวันนี้ และอาจจบชะตาเหมือนกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปที่ถูกโหวตตก
หากจะสำรวจว่า “การปรองดอง” แบบไหนที่จะเป็นแต้มต่อให้ “คณะรัฏฐาธิปัตย์” มากที่สุด คงต้องพลิกดูผลการศึกษาคณะอนุกรรมการศึกษาประเด็นปัญหาการสร้างความปรอง ของกรธ. ซึ่งมี “อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ-ภุมรัตน์ ทักษาดิพงศ์ กรธ.” เป็นหัวเรือใหญ่โดยผลการประชุมทั้ง 11 ครั้ง ถูกถอดเป็นบทสรุปได้ว่า การปรองดองที่ดีที่สุด คือ 1.ใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมจัดการกับความรุนแรง โดยให้คู่กรณีเอาข้อมูลไปสู้ ไปชี้แจงกันในศาล และใช้กระบวนการยุติธรรมจัดการข้อขัดแย้ง ซึ่งข้อขัดแย้งที่ว่าซึ่งนำไปสู่ความรุนแรง เกิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่นของภาครัฐ ที่ฝ่ายการเมืองแย่งชิงเพื่อเข้าบริหารงบประมาณแผ่นดินและทุจริตในโครงการต่างๆ และ 2.สร้างความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้องด้านการเมืองให้ประชาชน เพื่อให้เกิดการปรองดองที่ยั่งยืน ขณะที่การนิรโทษกรรมหรือการอภัยโทษไม่ใช่หลักประกันของการลดความรุนแรงหรือป้องกันเหตุรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นอีก
และนั่นอาจจะเป็นคำตอบ และเป็นอีกทางเลือกสำคัญ ที่ “องค์รัฏฐาธิปัตย์” ยังใช้เป็นเครื่องต่อรองกับ “ผู้มีอิทธิพลทางการเมือง” เพราะเมื่อยังถือไพ่เหนือกว่าในทุกๆ ทาง การจะล้มกระดานอีกครั้ง หรือจะลงจากหลังเสือย่อมเจ็บตัวน้อยกว่า ในมือที่ไม่ได้กำไว้อะไรเลย
