ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160505/227121.html
‘ประวิช’ชี้ปชช.มีเสรีภาพแสดงความเห็นได้ แต่อย่ามโน-หยาบคาย-ก้าวร้าว-ปลุกระดมมั่นใจปฏิบัติตามกติกาไม่ผิดกม.แน่ ‘สุรชัย’เผยสนช.พร้อมลงพื้นที่แจงคำถามพ่วงประชามติ
5พ.ค.59 นายประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวถึงกรณีหลายฝ่ายท้วงติงเกี่ยวกับประกาศกกต.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการแสดงความคิดเห็นในการออกเสียงประชามติไม่ชัดเจนว่า เบื้องต้นคงต้องบอกว่าการที่กกต.จะประกาศสิ่งใดออกมานั้นจะเกินไปกว่าที่พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติกำหนดไว้ไม่ได้ เพราะพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ได้รองรับการแสดงความคิดเห็นและการเผยแพร่ความคิดเห็นของประชาชนอย่างเสรีภาพไว้แล้ว ดังนั้นบุคคลใดที่แสดงความคิดเห็นให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน หรือสัมมนาทางวิชาการสามารถทำได้ แต่ต้องอยู่บนกติกาที่กฎหมายกำหนดไว้คือ
1.ต้องเป็นเรื่องจริงไม่สามารถแต่งเติมหรือมโนขึ้นเองได้2.ต้องใช้คำพูดสุภาพไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคายหรือก้าวร้าวและ3.ต้องไม่ปลุกระดมข่มขู่โดยหลักการทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้กรอบของมาตรา7และมาตรา61ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติฯ
“ถ้าหากประชาชนยึดหลักข้างต้นมั่นใจว่าจะมีความปลอดภัยเพราะไม่ผิดกฎหมายแต่หากทำสิ่งใดที่นอกเหนือจากนี้ก็สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ผู้อื่นมองเห็นได้ว่าเข้าข่ายปลุกระดมหรือใช้ถ้อยคำหยาบคายก้าวร้าวข่มขู่ก็จะเป็นอันตราย เพราะกฎหมายฉบับนี้มีบทกำหนดโทษทางอาญาไว้”นายประวิช กล่าว
เมื่อถามว่าบทบาทของกกต.สามารถไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษได้หรือไม่นายประวิชกล่าวว่ากกต.หรือใครก็ตามที่พบเห็นว่าสิ่งใดไม่ถูกต้องสามารถไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเหมือนคนธรรมดาทั่วไปได้ซึ่งคนที่ชี้ขาดว่าอะไรถูกหรือผิดหรือควรทำหรือไม่ควรทำไม่ใช่กกต.แต่เป็นอำนาจศาล
นายประวิชกล่าวด้วยว่า การทำประชามติไม่ว่าประเทศใดในโลกจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากกับทิศทางของประเทศที่ประชาชนทั้งหมดต้องมาตัดสินใจร่วมกัน เพราะว่าการทำประชามติไม่เหมือนการเลือกตั้งทั่วไป เนื่องจากการเลือกตั้งทั่วไปคือการเลือกบุคคลเข้ามาเป็นรัฐบาลทำหน้าที่แทนประชาชนเป็นการเลือกทางอ้อม แต่ประชามติเป็นการออกเสียงทางตรงของประชาชนมีไม่บ่อยครั้ง โดยประเทศไทยทำประชามติครั้งแรกเมื่อปี2550 ซึ่งครั้งนี้จะเป็นครั้งที่2และมีความสำคัญเพราะเป็นการกำหนดทิศทางของอนาคตบ้านเมืองว่าจะเป็นอย่างไร จึงอยากให้ประชาชนมาร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ออกมาใช้สิทธิออกเสียงประชามติในวันที่7ส.ค.นี้ด้วยกันให้มากที่สุดส่วนจะตัดสินใจเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบอย่างไรนั้นก็สุดแล้วแต่การตัดสินใจของประชาชน
“สุรชัย”เผยสนช.พร้อมลงพื้นที่แจงคำถามพ่วงประชามติ มั่นใจไร้ต้าน
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญพิจารณาศึกษาเสนอแนะและรวบรวมความเห็น เพื่อการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ สนช. เปิดเผยความคืบหน้าการวางแผนชี้แจงคำถามพ่วงประชามติตามพื้นที่ต่างๆ ว่า ขณะนี้ทางคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้กำหนดตัวบุคคลพร้อมกับแบ่งพื้นที่การชี้แจงสาระสำคัญร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับแล้ว 9 กลุ่มจังหวัดทั่วประเทศ ดังนั้น สนช.ก็จะลงพื้นที่ร่วมกับกรธ.ครบทั้ง 9 กลุ่มเช่นกัน ซึ่งขณะนี้สนช.ได้กำหนดตัวบุคคลเพื่อรับผิดชอบแต่ละกลุ่มจังหวัดเสร็จสิ้นแล้ว แต่ในส่วนของสนช.จะลงพื้นที่ชี้แจงในระดับอำเภอด้วย จึงจำเป็นต้องจัดสมาชิกสนช.รับผิดชอบเป็นรายจังหวัดด้วยจังหวัดละ 1 คน หากเป็นจังหวัดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างขวางก็อาจจะรับผิดชอบมากกว่า 1 คน โดยรายชื่อจะมีความชัดเจนในสัปดาห์หน้า
ส่วนการเข้าพบนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.วานนี้ (4 พ.ค.) นายสุรชัย กล่าวว่า เป็นการซักซ้อมความเข้าใจของทั้งฝ่ายสนช.และกรธ.ที่ต้องลงพื้นที่ทำงานร่วมกัน พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าการเตรียมงานของสนช.ให้กรธ.รับทราบด้วย รวมถึงการแบ่งเวลาชี้แจงซึ่งได้ข้อยุติแล้วว่า สนช.จะใช้เวลาไม่มากเพราะชี้แจงแค่คำถามพ่วง ส่วนกรธ.จะใช้เวลามากกว่า เพราะเป็นการชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญที่มีสาระสำคัญค่อนข้างมาก และช่วงสุดท้ายของการชี้แจงจะเปิดโอกาสให้ประชาชนซักถาม ซึ่งสนช.ก็จะตอบในประเด็นที่เกี่ยวกับคำถามพ่วง
“ส่วนตัวมีความเชื่อมั่นว่าประชาชนจะเข้าใจ ว่าสนช.และกรธ.มีหน้าที่ชี้แจงทำความเข้าใจ ทั้งร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง โดยไม่ได้ชักจูงให้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เพียงแต่เป็นการให้ข้อมูล จึงไม่น่าจะเกิดการต่อต้านหรือไม่ได้รับความสะดวกในการลงพื้นที่ เพราะสุดท้ายขึ้นอยู่กับประชาชนตัดสินใจ ซึ่งเราต้องการให้ประชาชนตัดสินใจด้วยความอิสระ”นายสุรชัย กล่าว
