ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160513/227617.html
‘ประวิตร’ตรวจโครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามแนว’ประชารัฐ’ อนุรักษ์ป่าจำปีสิรินธร และแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ที่ อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี
เมื่อเวลา 10.15 น. ของวันที่ 13 พ.ค.59 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางลงพื้นที่ในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค เขตตรวจราชการที่ 2 ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามแนวนโยบาย “ประชารัฐ” เพื่ออนุรักษ์ป่าจำปีสิรินธร และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ 6 ตำบล ของ อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี พร้อมเป็นประธานเปิดป้ายการใช้งานบ่อบาดาลที่ใช้พลังงานจากโซล่าเซล โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารกลุ่มวังขนาย สมาคมชาวไร่อ้อยลพบุรี และประชาชนใน อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี ให้การต้อนรับ
นายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ในฐานะประธานโครงการฯ ได้กล่าวว่า “อำเภอท่าหลวงมีพื้นที่ 236,011 ไร่ เป็นพื้นที่ทางการเกษตร 225,072 ไร่ เกษตรกรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกอ้อย ข้าวโพดและมันสำปะหลัง นอกจากนี้ อ.ท่าหลวงยังเป็นที่ตั้งของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ แต่พื้นที่ทางการเกษตรจะอยู่บริเวณเหนือเขื่อน จึงไม่สามารถใช้ประโยชน์จากน้ำในการประกอบอาชีพได้ ประกอบกับในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้ประสบปัญหาภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการจัดเวทีประชาคมเพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ปัญหา โดยมีแนวคิดที่จะนำน้ำในเขื่อนป่าสักฯ มาเก็บไว้บริเวณอ่างเก็บน้ำ 6 แห่ง ในพื้นที่อำเภอท่าหลวง (อ่างเก็บน้ำสะพานสี่ ทะเลวังวัด ห้วยน้ำโจน เนินสวอง ทุ่งเป้ง และห้วยซับใต้) เพื่อสำรองไว้ใช้ในกรณีเกิดภาวะแห้งแล้งหรือฝนทิ้งช่วง
นอกจากนี้ในเขตตำบลซับจำปา อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี ยังเป็นที่ตั้งของป่าจำปีสิรินธร ในพื้นที่โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นพรรณไม้พื้นเมืองในวงศ์จำปา ถูกค้นพบเป็นพรรณไม้พันธุ์ใหม่ของโลก และเมื่อเดือนสิงหาคม 2543 และได้รับพระราชทานพระนามาภิไธยจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้เป็นชื่อพรรณไม้ดังกล่าวว่า “จำปีสิรินธร” ซึ่งจากปัญหาภัยแล้งดังกล่าว ส่งผลต่อความชุ่มชื้นในพื้นที่ป่า ทำให้ต้นจำปีสิรินธรขาดน้ำในการหล่อเลี้ยงลำต้น ผืนป่าขาดความชุ่มชื้น ซึ่งการจัดทำโครงการฯ ดังกล่าว จะช่วยเพิ่มแหล่งน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในการรักษาป่าจำปีสิรินธรด้วย
เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ในพื้นที่โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ ทางจังหวัดจึงได้ประสานกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 3 สระบุรี ดำเนินการเจาะบ่อบาดาล จำนวน 3 บ่อ คือ 1)การขุดเจาะบ่อที่ 1 ระดับความลึก 104 ม. ปริมาณน้ำ 30 ลบ.ม./ชม. 2)การขุดเจาะบ่อที่ 2 ระดับความลึก 72 ม. ปริมาณน้ำ 25 ลบ.ม./ชม. และ 3)การขุดเจาะบ่อที่ 3 ระดับความลึก 62 ม. ปริมาณน้ำ 4 ลบ.ม./ชม. การเจาะบ่อบาดาลดังกล่าวฯ ทำขึ้นเพื่อสูบน้ำมาหล่อเลี้ยงพื้นที่ป่าและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ต้นจำปีสิรินธร ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งหากคำนวณปริมาณน้ำที่ป่าจำปีสิรินธรต้องมีน้ำขังเพื่อรักษาระบบนิเวศป่าพรุน้ำจืดเอาไว้ ที่ระดับความลึก 50 เซนติเมตร (เนื้อที่ 141 ไร่) จะต้องมีท่วมขังประมาณ 112,800 ลูกบาศก์เมตร หากมีโครงการสูบน้ำจากเขื่อนป่าสักมาเก็บไว้ที่อ่างซับใต้ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของโครงการและมีระบบชลประทานมาสนับสนุน จะทำให้บรรเทาปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ป่าจำปีสิรินธรลงได้
นางจิตต์สุภา สุขเจตนี ผู้อำนวยการฝ่ายภาพลักษณ์องค์กรและกิจกรรมสังคม กลุ่มวังขนาย กล่าวว่า “กลุ่มวังขนายได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ ซึ่งเป็นการร่วมกันพัฒนาตามแนวนโยบาย “ประชารัฐ” เพราะเป็นสิ่งที่เปิดโอกาสให้กับทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ได้ทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ ซึ่งการแก้ไขปัญหาภัยแล้งหรือการพัฒนาแหล่งน้ำนั้น กลุ่มวังขนายได้ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคที่ดินให้กับเทศบาลหนองมะโมง จ.ชัยนาท จำนวน 516 ไร่ เพื่อขุดสระเก็บน้ำ และวางแนวทางกระจายน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรมโดยรอบ สำหรับโครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามแนวนโยบาย “ประชารัฐ” เพื่ออนุรักษ์ป่าจำปีสิรินธร และแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ 6 ตำบล ของ อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี นั้น ทางกลุ่มวังขนายได้เข้าไปร่วมเป็นคณะทำงาน และสนับสนุนในด้านค่าใช้จ่ายกระแสไฟฟ้าเพื่อสูบน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ไปแก้ไขปัญหาวิกฤตให้กับป่าจำปีสิรินธร ซึ่งจะช่วยเหลือเกษตรกรให้มีน้ำในการทำการเกษตรด้วยค่ะ”
