‘มาร์ค’จี้ปลดล็อกคำสั่งคสช.ห้ามจัดกิจกรรม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160520/227985.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2559
‘มาร์ค’จี้ปลดล็อกคำสั่งคสช.ห้ามจัดกิจกรรม

เวทีแจงรธน.-ประชามติคึกคัก ‘มาร์ค’จี้ปลดล็อกคำสั่งคสช.ห้ามจัดกิจกรรม ‘นปช.’ เย้ยเปิดเวทีเพราะกลัวแพ้ประชามติ ดักคอ 7 ส.ค.เรือแป๊ะล่มอีก

            เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 19 พฤษภาคม ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดประชุมชี้แจงพรรคการเมือง เรื่อง “ร่างรัฐธรรมนูญ ประชามติ และประชาชน” เพื่อทำความเข้าใจและเปิดโอกาสให้พรรคการเมือง ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีตัวแทนคณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และ กกต.เข้าชี้แจงภารกิจของแต่ละหน่วยงาน

ในส่วนของ กกต. มีนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. และนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง ทำหน้าที่ชี้แจงการออกเสียงประชามติ ส่วนตัวแทนจาก ครม. มีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด้าน กรธ. มีนายอุดม รัฐอมฤต นายประพันธ์ นัยโกวิท ผู้แทน สนช. นายกล้านรงค์ จันทิก นายสมชาย แสวงการ ผู้แทน สปท. มีนายคำนูณ สิทธิสมาน และนายเสรี สุวรรณภานนท์ เข้าร่วม

ขณะเดียวกัน มีตัวแทนจาก 50 พรรคการเมือง จาก 71 พรรคที่เชิญไปเข้าร่วม อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค พรรคเพื่อไทย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการเลขาธิการพรรค นายธวัชชัย สุทธิบงกช รักษาการรองเลขาธิการพรรค พรรคชาติไทยพัฒนา นายพันธุ์เทพ สุลีสถิร เลขาธิการพรรค และพรรคชาติพัฒนา มี ร.ต.ประพาส ลิมปะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรค และนายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา โฆษกพรรค เป็นต้น

ส่วนกลุ่มการเมือง มีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำ นปช. เข้าร่วม ขณะที่กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมแต่อย่างใด

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำ กปปส. ให้สัมภาษณ์ว่า เนื่องจาก กกต.เพิ่งโทรศัพท์ติดต่อแจ้งมาเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จึงค่อนข้างกระชั้นชิด แกนนำแต่ละคนต่างมีภารกิจ อย่าง นายวิทยา แก้วภราดัย สมาชิก สปท. ติดภารกิจลงใต้ ส่วนตนเพิ่งลงเครื่องถึงกรุงเทพฯ คงไปไม่ทัน รวมถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ และนายถาวร เสนเนียม ต่างติดภารกิจ จึงไม่มีแกนนำคนใดว่าง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม กกต.ได้ขอให้ผู้เข้าร่วมประชุมปิดโทรศัพท์และเครื่องมือสื่อสารทั้งหมด ซึ่งการประชุมได้เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปสังเกตการณ์ได้ แต่ห้ามนำเครื่องมือสื่อสารเข้าไปบันทึกเด็ดขาด หากนำโทรศัพท์เข้าไปต้องปิดเครื่อง ยกเว้นสมุดจดข่าวกับปากกาเท่านั้น แต่ได้มีการจัดห้องให้ผู้สื่อข่าวติดตามการประชุมผ่านการถ่ายทอดทางกล้องวงจรปิด

จากนั้นที่ประชุมให้แต่ละฝ่ายชี้แจงภารกิจของตัวเอง โดย นายประพันธ์ นัยโกวิท และนายอุดม รัฐอมฤต ตัวแทน กรธ.กล่าวชี้แจงการยกร่างรัฐธรรมนูญ ต่อด้วยนายกล้านรงค์ จันทิก ตัวแทน สนช. ชี้แจงถึงการตั้งคำถามพ่วงประชามติของ สนช. และตามด้วยนายคำนูณ สิทธิสมาน ตัวแทน สปท. หลังจากนั้นนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง กล่าวชี้แจงว่า มี 2 เรื่องที่แตกต่างจากกฎหมายประชามติเดิม คือ การกระทำความผิดผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยการเผยแพร่ใดที่เข้าข่ายกระทำความผิด 2.กรณีมีคณะบุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป กระทำความวุ่นวายใดๆ จะถูกลงโทษ ซึ่งเป็นโทษหนัก ส่วนเรื่องอื่นๆ ยังคงเดิมตาม พ.ร.บ.ประชามติที่เคยมีบัญญัติมาแล้ว

ขณะที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวชี้แจงบทบาทรัฐบาลและพูดถึงกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านว่า ตอนนี้พูดชัดไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร ถ้าตามขั้นตอนหากไม่ผ่าน รัฐบาลต้องเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวภายใน 15 วัน ก่อนวันที่ 7 สิงหาคม เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ คาดว่าใช้เวลาไม่นาน 1-2 เดือน หรือสั้นกว่านั้น และเพื่อความรวดเร็ว จะไม่มีการตั้ง กรธ. หรือคณะกรรมร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะมีฐานอยู่แล้ว เมื่อร่างเสร็จนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายทันที ซึ่งเป็นไปตามโรดแม็พที่ คสช.ต้องการ
มาร์คจี้ปลดล็อกคำสั่งห้ามจัดกิจกรรม

จากนั้นเวลา 15.35 น. เข้าสู่กระบวนการซักถามของพรรคการเมืองและกลุ่มการเมือง โดยเริ่มที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้สอบถามว่า หากร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน ก็จะเกิดความขัดแย้งในวันข้างหน้า สุดท้ายแล้วเท่ากับว่าสิ่งที่ได้ทำมาช่วง 2 ปีก็สูญเปล่า และตนก็เป็นคนหนึ่งที่เรียกร้องให้มีการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งการทำประชามตินั้น เป็นกระบวนการทางการเมืองที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างเสรี เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจ แต่ก็แปลกใจว่าคำบางคำกลายเป็นสิ่งต้องห้าม เช่น คำว่า “ชี้นำ” จึงต้องการคำตอบจาก กกต.ให้แก่ประชาชนว่า ท่านตีความคำว่า “ก้าวร้าว หยาบคาย รุนแรง ปลุกระดม และข่มขู่” อย่างไร ซึ่งขอให้มีการยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม เช่น บุคคลที่สวมเสื้อ หรือขายเสื้อ รับ-ไม่รับ ทำได้หรือไม่

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การทำประชามติจะมีความหมายก็ต่อเมื่อประชาชนมีทางเลือก แต่วันนี้เรายังไม่ทราบว่า ถ้าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแล้วจะเป็นอย่างไร นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ชี้แจงว่า ตามโรดแม็พระบุว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ก็ไปแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว 57 ซึ่งความจริงแล้วตามโรดแม็พไม่ได้ห้ามให้ท่านแก้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวตั้งแต่วันนี้ ขอให้ประชาชนเจ้าของประเทศที่เขาต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ ได้รู้ทางเลือกที่แท้จริง การทำประชามติครั้งนี้จะได้ไม่เสียหาย สุดท้ายถ้าประธาน กกต. ต้องการให้พรรคการเมืองชี้แจงเพื่อขยายผล คงต้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ  แก้ไขหรือยกเลิกคำสั่งฉบับที่ 57 เพื่อให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้ ตนยืนยันว่า ไม่สนับสนุนให้พรรคการเมืองไหนปลุกระดม สร้างความวุ่นวายกระทบต่อความมั่นคง แต่ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนและพรรคการเมือง ควรเคลื่อนไหวทางการเมืองได้อย่างสุจริต
กกต.ชี้ขายเสื้อปลุกระดม“รับ-ไม่รับ”ผิด

ด้าน นายสมชัย ตัวแทนฝ่าย กกต.ชี้แจงว่า ตามมาตรา 61 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ได้ระบุ 7 ฐานความผิด ซึ่งจะมีปัญหาอยู่ที่มาตรา 61 วรรคสอง เพราะเรื่องใหม่คือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องเพิ่มเข้าไปเพื่อให้เข้ากับสมัยปัจจุบัน ดังนั้น กกต.ก็พยายามให้มีความชัดเจน จึงมีประกาศของ กกต. คือ 6 ข้อทำได้ และ 8 ข้อทำไม่ได้ ส่วนคำถามว่า อะไรคือ ก้าวร้าว เป็นเท็จ หยาบคาย นั้น คำว่าเป็นเท็จคือ เอาสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญออกมาพูดโดยไม่เป็นจริง ส่วนการคาดการณ์อนาคตไม่มีใครบอกว่า เป็นการพูดเท็จ เช่น การพูดว่าใช้ร่างรัฐธรรมนูญนี้แล้วจะเป็นปัญหา หรือใช้ร่างรัฐธรรมนูญแล้วดีหรือไม่ดี เพราะเป็นการคาดการณ์อนาคตสามารถพูดได้ แต่หากนำเสนอเรื่องที่เป็นเท็จถือว่าผิด

นายสมชัย กล่าวอีกว่า ส่วนมาตรฐานของคำว่าหยาบคาย เราใช้มาตรฐานของชนชั้นกลาง เช่นคำว่า “กู มึง” ไม่ถือว่าหยาบคาย อย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ออกจากห้องนี้ไปก็คงพูด กู มึง เป็นปกติ หรือคนใต้ก็พูดเหมือนกัน จึงไม่ถือว่าผิด ส่วนเรื่องการขายเสื้อ ใส่เสื้อ ถ้าไม่ได้เป็นการรณรงค์ก็ไม่ถือว่าผิด อย่างวันนี้นายจตุพรใส่เสื้อที่มีคำว่า “ประชามติ ไม่ล้ม ไม่โกง ไม่อายพม่า” ก็ไม่ถือว่าผิด แต่หากขายเสื้อ-แจกจ่ายในแบบที่เป็นการรณรงค์ และแจกของที่มีมูลค่า ถือว่าเป็นความผิดคล้ายกับการซื้อเสียง ซึ่งเราจะเฝ้าดูว่าการขายเสื้อที่นำไปสู่การปลุกระดมให้รับ หรือไม่รับหรือไม่ หากดูแล้วพบหลักฐานชัดเจน ก็จะมีความผิดทันที โดยจะเข้าสู่กระบวนการทางอาญา แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดำเนินการของ กกต. เพราะคนในประเทศทุกคนสามารถฟ้องร้องได้
“ปลอด-วิษณุ” ปะทะคารมปมป้าย No

ต่อมา นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สิ่งที่นายอภิสิทธิ์พูด ตนเห็นด้วยและจะไม่ขอถามซ้ำอีก ทั้งนี้ อยากถามว่าในมาตรา 61 มีความไม่ชัดเจน ขอให้ กกต.อธิบายให้ชัดเจน และขอถามไปถึง กรธ.เพราะเหตุใดถึงเขียนรัฐธรรมนูญออกมาแปลกๆ ไม่รู้ใช่ไหมว่าจะสร้างความเสียหาย เช่น ที่ตนเดินทางไป จ.พิษณุโลก ไปดูการขุดลอกคูคลองขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก แล้วมีคนมาชูป้ายว่า No Corruption แล้วถูก กกต.จังหวัดบอกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง เชิญให้ไปชี้แจง ขอยืนยันว่าไม่เกี่ยว และไม่ไปชี้แจง การใช้คำว่า No ไม่ได้มีแค่เรื่องประชามติเท่านั้น และไม่เห็นจะมีพิษมีภัยต่อการทำประชามติ ในมาตรา 61 ของพ.ร.บ.ประชามติไม่มีความชัดเจน ขอให้สร้างความชัดเจน

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวเสริมขึ้นมาว่า เรื่องนี้ง่ายนิดเดียวท่านรองนายกฯ (นายปลอดประสพ) ก็ไม่ต้องใช้ No แต่ให้เปลี่ยนเป็น “ปลอด” แทน

ด้าน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวชี้แจงอีกครั้งว่า ในมาตรา 61 ของ พ.ร.บ.ประชามติ สามารถเขียนเป็นภาษากฎหมายมาได้เท่านั้น จะให้เขียนครอบคลุมทั้งหมดคงไม่ได้ เช่น ถ้าวันนี้บอกว่าใส่เสื้อได้ พวกท่านก็จะถามอีกว่าใส่เข็มขัด ใส่หมวกติดริบบิ้นได้หรือไม่ ตรงนี้เอาใจยาก ส่วนเรื่องการใส่เสื้อ Yes หรือ No ใส่ได้ไม่เป็นปัญหา แต่อย่าใช้ปลุกระดม

นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. ชี้แจงว่า เรื่องที่ทำได้หรือทำไม่ได้ เราดูที่เจตนาว่าจะมีการปลุกระดมข่มขู่บิดเบือนหรือไม่ ทั้งนี้ ยืนยันว่าประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็น ตามมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.ประชามติ แต่ต้องไม่เป็นการรณรงค์ไปสู่การปลุกระดม เรื่องนี้ผู้ที่จะบอกว่าผิดหรือไม่ผิดคือศาลยุติธรรม ไม่ใช่ กกต.
นปช.เย้ยรัฐกลัวแพ้ประชามติ

ขณะที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ขึ้นซักถามว่า ที่ชี้แจงวันนี้ หลักใหญ่ใจความคือพวกท่านกลัวแพ้ประชามติ ซึ่งเริ่มจาก สนช.ไปเขียนกติกาที่เป็นนามธรรม ทั้งเรื่องห้ามก้าวร้าว หยาบคาย ทั้งที่กฎหมายควรเขียนให้เป็นรูปธรรม ทั้งที่การทำประชามติปี 50 ไม่มีการห้ามการบอกว่ารับหรือไม่รับ แต่วันนี้ด้วยความกลัวแพ้ มีการเผยแพร่เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งครู ก. ข. ค. หน่วยงานราชการ รวมแล้วกว่าล้านคน แทนที่จะมีการเปิดกว้าง ทั้งที่บอกว่า กรธ.ไม่ได้ชี้นำ แต่กลับไปพูดแค่ข้อดีอย่างเดียว แต่คนอื่นจะไปเคาะประตูบ้าน พูดข้อเสียอย่างเดียวก็ไม่ได้ ทั้งนี้ ต้องการประชามติครั้งนี้ไม่โกง และตนกลัวว่าพวกท่านจะล้มการทำประชามติ การที่ กรธ. สนช. สปท.ลงพื้นที่ชี้แจง จะเป็นการชี้แจงฝ่ายเดียว เหมือนการเอากระบี่ไปฟันต้นกล้วย แล้วบอกว่าไร้เทียมทาน และ กกต.ควรเปิดกว้าง ผ่อนคลาย และไม่ควรตีความเลอะเทอะ ทั้งนี้ ต้องอยู่ในโลกความเป็นจริงเพราะประชามติไม่มีที่ไหนที่หยุมหยิมแบบนี้ และ กกต.ควรจะทำตัวเป็นกรรมการที่เป็นกลางให้ได้
เปิดศูนย์จับโกงประชามติ 5 มิ.ย.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจตุพรให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุมชี้แจงพรรคการเมืองเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติว่า วันนี้เราจะได้ฟังตัวแทนของแม่น้ำ 5 สาย จะได้แสดงความคิดเห็นของ นปช.ที่มีต่อการทำประชามติในเรื่องอุปสรรคความไม่เท่าเทียม ของฝ่ายรับร่างและฝ่ายไม่รับร่าง ที่ตอนนี้มีพื้นที่สำหรับฝ่ายรับร่างเท่านั้น ไม่เหลือพื้นที่ให้แก่ฝ่ายที่ไม่รับกระทำการใดๆ ได้เลย ทั้งนี้ ในวันที่ 5 มิถุนายนนี้ กลุ่ม นปช.จะเปิดศูนย์จับโกงประชามติ ที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว ในเวลา 10.00 น. เพื่อเป็นศูนย์กลางให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศร่วมกันจับโกง

ประธาน นปช. กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่น่าห่วงใย นอกจากเรื่องการใช้สิทธิในวันทำประชามติแล้ว วันนี้อยากจะฟังจากปากผู้มีอำนาจว่า ในวันที่ 7 สิงหาคม จะมีการล้มเองหรือไม่ บทเรียนเมื่อคราวการร่างรัฐธรรมนูญของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธาน กมธ.ยกร่างฯ จะเห็นว่า ท้ายที่สุดคนบนเรือแป๊ะล้มกันเอง มาครั้งนี้เดินไปสักพักถ้าเห็นว่าแพ้แน่ อาจหาเรื่องจะยกเลิกประชามติหรือไม่ ต้องการความมั่นใจว่าวันที่ 7 สิงหาคม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นการทำประชามติจะต้องดำรงอยู่

ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลตั้งใจใช้เวทีนี้อธิบายกับสังคมทั้งในและต่างประเทศว่านี่คือการเปิดกว้างในการทำประชามติแล้ว ตนว่าคงจะไม่ใช่ เวทีนี้คนได้พูดมากที่สุดคือรัฐบาล พื้นที่สโมสรกองทัพบก ก็ต้องเปิดกว้าง จะเป็นเช่นนั้นได้ต่อเมื่อทบทวนปรับแก้ พ.ร.บ.ประชามติไม่ให้กฎหมายไปปิดปากประชาชน มั่นใจว่ารัฐบาลทำได้ถ้าตั้งใจจะทำ ถ้าจำเป็นก็มีมาตรา 44 นายกฯ สั่งการได้เลย เพื่อให้สนามประชามติเปิดกว้างทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะในรั้วสโมสรกองทัพบก

นางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำ นปช. กล่าวว่า เวทีนี้เป็นการแสดงหรือเปล่า ถ้าเป็นเพียงการแสดง เราก็เป็นตัวแสดงบางตัว ซึ่งมีสีสันหน่อย แม้จะรู้ว่าอาจจะเป็นเพียงเวทีการแสดง แต่เราก็ยินดีจะมาร่วมแสดงความจริงใจในนามประชาชน ที่ต้องการให้ประชามติเป็นของประชาชนจริงๆ
อุเทนเซ็ง กกต.-สื่อสนใจแต่พรรคใหญ่

นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมการประชุมชี้แจง “ร่างรัฐธรรมนูญ ประชามติ และประชาชน” ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดขึ้นที่สโมสรกองทัพบกวิภาวดีฯว่า ได้เดินทางมาเข้าร่วมประชุมตามที่ได้รับเชิญจาก กกต. แต่ได้ออกจากห้องประชุมก่อนที่จะได้แสดงความคิดเห็น เมื่อเห็นว่าการจัดสรรเวลาและการเรียงลำดับให้แสดงความคิดเห็นไม่เป็นธรรมกับพรรคการเมืองขนาดเล็ก อีกทั้งทาง คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ตัวแทนรัฐบาล และทาง กกต.ก็ใช้เวลาค่อนข้างมาก ทำให้กลายเป็นเพียงเวทีที่สื่อสารด้านเดียว เลือกที่จะชี้แจงมากกว่าจะรับฟังความคิดเห็นตามที่ได้ประกาศไว้ ทั้งยังเห็นด้วยว่าทั้ง กกต.ในฐานะผู้จัดงาน และสื่อมวลชน ให้ความสำคัญเฉพาะกับพรรคการเมืองใหญ่ แต่ไม่สนใจพรรคการเมืองขนาดเล็กเท่าที่ควร จึงอยากยกพระราชดำรัสเมื่อปี 2512 ที่ระบุว่า “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ..ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทุกวันกลับตรงกันข้าม ไปให้ความสำคัญกับคนไม่ดี บ้านเมืองจึงมีแต่ปัญหา

นายอุเทน กล่าวต่อว่า เดิมทีอยากจะขอแสดงความคิดเห็นเรื่องมาตรา 98 (11) ในร่างรัฐธรรมนูญ ที่ระบุถึงคุณสมบัติข้อห้ามของผู้สมัคร ส.ส. และในส่วนของการแก้ไจเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในอนาคต ที่ต้องทำให้ได้ง่าย ปราศจากเงื่อนไขขัดขวางอย่างที่ระบุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญของ กรธ.แต่ก็ไม่มีโอกาส ทั้งนี้อยากฝากไปถึงประชาชนให้ยึดหลัก 4 ป. ในการตัดสินใจออกเสียงประชามติวันที่ 7 ส.ค.นี้ คือ 1. เปิดหู รับฟังข้อเท็จจริง 2. เปิดตา มองทุกส่วนอย่างรอบด้าน 3. เปิดใจ คิดรับฟังรับรู้อย่างมีสติ และ 4. เปิดปาก ประชาชนต้องกล้าที่จะพูดในสิ่งที่ถูกต้อง และกล้าที่จะติติงในสิ่งที่ไม่เหมาะสม หากทำได้ตามนี้ผลการลงประชามติก็จะสะท้อนความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง.
วิษณุเตรียมชงข้อเสนอทุกฝ่ายให้บิ๊กตู่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญภายหลังเปิดโอกาสให้ตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ ตั้งคำถามครบหมดแล้ว นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า จะนำข้อมูลที่ได้ไปประกอบการตัดสินใจในอีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งอาจจัดเวทีโดยเชิญนักวิชาการ และภาคส่วนอื่นๆ มาร่วมหารือ ส่วนข้อเสนอพรรคการเมืองที่จะให้ผ่อนปรนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 57/2557 ที่ห้ามพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง เคลื่อนไหวทำกิจกรรมทางการเมืองนั้น หลังจากนี้คงต้องเกิดขึ้น แต่ต้องดูสถานการณ์ประกอบกัน ซึ่งมันจะมีตัวแปรหลายอย่าง ขณะนี้เห็นว่ามันล่อแหลมกว่าที่ผ่านมา นำไปสู่ความแตกแยกได้อีก เช่น เรื่องประชามติ ต้องระวัง สุดท้ายประชามติจะผ่านหรือไม่ผ่านนั้น ไม่ใช่ประเด็นใหญ่โตนัก แต่ทุกท่านที่นั่งอยู่ในนี้ ทุกสี ทุกกลุ่ม ต่างมีฉันทามติในใจ ว่าอยากเห็นประเทศมีความสงบเรียบร้อย ไม่อยากเห็นการทำร้ายประเทศ นั่นคือประชามติที่ไม่ต้องกาบัตร คือสยามานุสสติที่ยึดถือประเทศเป็นใหญ่ ยืนยันไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ จะไม่มีการยืดเวลาอะไรทั้งสิ้น และทางออกหากประชามติไม่ผ่าน ต้องเตรียมการก่อนวันที่ 7 สิงหาคม และขั้นตอนจะเป็นอย่างไร ความลับไม่มีในโลกอยู่แล้ว
เผยนายกฯ แนะกกต.ตั้ง กก.ตีความ

นายวิษณุ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เคยปรารภกับตนว่า ถ้ามันยุ่งๆ เรื่องตีความ ทำไม กกต.จึงไม่มีกรรมการกฎหมายเพื่อตีความ อะไรเป็นการปลุกระดม ใช้ถ้อยคำที่รุนแรง เหมือนรัฐบาลที่มีคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่ปรึกษา ซึ่งประธาน กกต.บอกว่ามีอยู่แล้ว ตนจึงบอกให้เปิดออกมา ถ้ามีอะไรก็ส่งให้คณะกรรมการชุดนี้ดู ประชาชนจะได้มั่นใจ เหมือนการดำเนินคดีมาตรา 112 ก็มีคณะกรรมการกลั่นกรองในลักษณะเดียวกัน เพื่อไม่ให้การดำเนินคดีออกมาพร่ำเพรื่อจนเกินไป

“วันนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดี ที่หลายพรรคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพูดคุยกัน ซึ่งเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ โดยผมจะนำข้อเสนอไปทำเป็นรายงานสรุปผล ส่งต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช. พิจารณาต่อไป”
“มาร์ค”พอใจแม้คำตอบยังไม่ชัดเจน

ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์หลังร่วมประชุมว่า อย่างน้อยที่ตั้งใจมาเสนอ 3 เรื่อง มีความคืบหน้า คือ 1.ขอขอบคุณนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ที่ให้ความชัดเจนในเรื่องความหวาดกลัว หรือความเข้าใจผิดในการชี้นำหรือการรณรงค์ประชามติ ว่าจะผิดกฎหมายนั้น ไม่เป็นความจริง หากไม่มีความก้าวร้าว หยาบคาย หรือการปลุกระดมข่มขู่ ก็ไม่ผิดกฎหมาย สามารถทำได้ กระบวนการนี้จะทำให้มีความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น และอยากเสนอแนะให้ที่ปรึกษากฎหมายของ กกต. นำเรื่องนี้เสนอต่อรัฐบาลเพื่อมอบเป็นนโยบายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติด้วย หากมีกรณีที่มีการแจ้งความเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายประชามติ ตำรวจก็จะส่งเรื่องให้ กกต.พิจารณาเพื่อกลั่นกรองและจะได้เป็นมาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ ไม่ลักลั่น

2.กรณีที่รัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติจะทำอย่างไร แม้วันนี้คำตอบจะยังไม่ชัดเจน 100% แต่รองนายกฯ ก็พูดในทำนองว่า จะทำให้กระบวนการนี้กระชับขึ้น โดยไม่มีการตั้งกรรมการร่างฯ ขึ้นมาอีก ซึ่งจะทำให้การตัดสินใจของประชาชน หรือจุดยืนของฝ่ายต่างๆ ต่อการทำประชามติสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และหวังว่าไม่จำเป็นต้องรอข่าวลือที่จะออกอะไรมาในวันที่ 8 สิงหาคม 3.ที่เสนอให้มีการทบทวนคำสั่ง คสช.นี้ รองนายกฯ ได้รับไป ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ซึ่งตนคิดว่าประเทศไทยต้องเดินต่อไปข้างหน้า จากนี้คงต้องรอดูว่าจะมีการผ่อนคลายหรือเปิดเวทีรับฟังหรือไม่เพราะยังมีเวลาอีก 80 วัน

“อยากให้ฝ่ายอื่นตระหนักว่าการประชามติ ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ว่ามีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย คสช.หรือรัฐบาล ต้องวางตัวเองอยู่เหนือความขัดแย้งหรือความแตกต่าง ตามที่รองนายกฯ ระบุ คือ ผ่านก็เอาไปใช้ ไม่ผ่านก็หากระบวนการที่ทำให้ดีขึ้น ถ้าไปในกรอบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย แต่ถ้ามีการกระทำที่ทำให้รู้สึกว่า รัฐธรรมนูญนี้ต้องผ่านจากฝ่ายผู้มีอำนาจ หรือต้องไม่ผ่าน จากฝ่ายที่ต่อต้าน ผู้มีอำนาจที่สุดก็จะเดินหน้าไปสู่ความขัดแย้งอีกครั้ง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
“เต้น” เหน็บ 5 ชม.ไม่มีอะไรใหม่

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่า สิ่งที่เห็นวันนี้คือ ภาพผู้มีอำนาจพยายามเปิดพื้นที่ให้ทุกกลุ่มการเมืองได้มาแสดงความเห็นเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ แต่ตลอด 5 ชั่วโมงที่ผ่านมาจะเห็นว่า ไม่มีความรู้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาเลย ล้วนแต่เป็นประเด็นเดิมๆ การประชุมครั้งนี้พูดแต่ในเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้พูดเรื่องประชามติและประชาชนเลย เพราะขาดการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้แสดงความเห็นแบบเสรี จึงต้องเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะทำให้ประชามติเรียบร้อย ให้ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงออก ตนพร้อมให้ความร่วมมือ และอยากให้ประชาชนได้พูด ได้เข้าคูหาประชามติในฐานะประชาชน ไม่ใช่ในฐานะเสมือนพลทหาร ที่เดินแถวตรงเข้าคูหา หลังจากนี้ก็สุดแท้แต่รัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่ส่วนตัวแล้วถ้าเราทำประชามติแบบสากลไม่ได้ เราก็จะดำเนินการแบบที่ทำอยู่ขณะนี้ไม่ได้ และจะไม่สามารถอธิบายแบบชอบธรรมได้เลย
บิ๊กตู่ไม่เคยสั่งรธน.ต้องผ่านประชามติ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่อยู่ระหว่างเดินทางเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ กกต.จัดเวทีสัมมนาเปิดให้ตัวแทนพรรคการเมือง และกลุ่มการเมือง มาแสดงความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญวันนี้ (19 พ.ค.) ว่า เป็นเรื่องที่คิดไว้นานแล้ว แต่รอเวลาที่เหมาะสมจึงค่อยดำเนินการ ไม่จำเป็นต้องพูดล่วงหน้า ไม่ได้บิดบัง ซ่อนเร้น

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะเปิดโอกาสให้พูดได้ในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องการเมือง ความขัดแย้ง คดีความ เพื่อที่จะได้รู้แนวคิดของแต่ละคน รับฟังไว้และแก้ปัญหา แต่ต้องฟังความเห็นของคนส่วนใหญ่ของประเทศด้วย เพราะคนที่เดือดร้อนและมีคดีความมีไม่กี่คน แต่มาทำให้คนทั้งประเทศสับสน เอาคนมาบิดเบือนเนื้อหา ค้านกับกฎหมาย ซึ่งทำไม่ได้ จะต้องใช้กฎหมายตัดสิน การเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นครั้งนี้ ไม่ได้มีใครกดดัน แต่ต้องการให้พูดออกมา และให้คนฟังไปแยกแยะเอง จะได้รู้ว่าเขาคิดอะไร และส่วนตัวไม่เคยสั่งว่าร่างรัฐธรรมนูญจะต้องผ่านหรือไม่ผ่านประชามติ

“อย่ามาบอกว่า ผมให้ออกกฎหมายให้ยากเพื่อไม่ให้ผ่าน ผมจะทำไปทำไม จะต้องเห็นใจคนร่าง ที่เขาต้องการร่างให้ออกมาดี แต่ถ้าคนไทยรับไม่ได้ ก็ต้องทบทวนและร่างใหม่ ถ้าผ่านก็นำไปสู่การเลือกตั้ง แต่ถ้าถามว่าจะเลือกตั้งได้หรือไม่ ผมตอบไม่ได้ เพราะยังไปไม่ถึงก็เริ่มมีการต่อต้านแล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว
บิ๊กป้อมหวังตปท.เข้าใจปัดยื้อเวลา

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงการเชิญพรรคการเมืองมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ และการทำประชามติว่า ได้คุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก่อนเดินทางไปเยือนประเทศรัสเซียให้เปิดเวทีดังกล่าวขึ้น และได้บอกให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการ เพื่อที่จะให้ทุกพรรคการเมืองมาพูดคุย แสดงความเห็น และถือเป็นการเปิดรูระบายให้หายใจ ในส่วนของ คสช.นั้น ไม่ได้เข้าร่วมด้วย แต่จะช่วยดูแลในเรื่องการรักษาความปลอดภัยทั้งหมด โดยการเปิดเวทีดังกล่าวเป็นความคิดของ คสช.ที่ต้องการเปิดกว้างให้เกิดความชัดเจนต่อร่างรัฐธรรมนูญและขั้นตอนการทำประชามติทั้งหมด จะได้ไม่ให้มีข้อสงสัยในการปฏิบัติ

เมื่อถามว่า ข้อคิดเห็นของพรรคการเมืองจะมีการนำไปปรับแก้รัฐธรรมนูญได้อีกรอบหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า คงไปปรับรัฐธรรมนูญลำบาก เพราะขณะนี้เข้าสู่การนำร่างรัฐธรรมนูญไปทำประชามติแล้ว ในส่วนของ กรธ.จะตอบปัญหาและชี้แจงว่าที่เขียนรัฐธรรมนูญมาเช่นนั้นมีเป้าหมายอย่างไร หวังว่าหลังจากพูดคุยแล้ว ต่างประเทศจะเข้าใจว่าเราไม่ได้มีการปกปิด ซ่อนเร้น และเปิดเผยทุกเรื่อง แต่ไม่อยากให้สองฝ่ายออกมาถือป้ายเยส หรือโน เพราะจะทำให้เกิดความวุ่นวายในประเทศ และหากการพูดคุยวันนี้เป็นไปด้วยดี คุยกันรู้เรื่อง ไม่มีการทะเลาะกัน ออกมามีเหตุผล ต่อไปก็อาจจะมีเวทีเช่นนี้อีก

เมื่อถามว่า แนวทางจะมีการนำรัฐธรรมนูญฉบับใดมาแก้ไขหากประชามติไม่ผ่าน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังตอบไม่ได้ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่การยื้อเวลา เพราะทุกคนก็อยากให้มีการเลือกตั้ง และโรดแม็พต้องเดินต่อไปให้ได้
ปัด รธน.ปูทางนายกฯ คนนอก

เมื่อถามว่า พรรคการเมืองยังห่วงประเด็นที่ร่างรัฐธรรมนูญเปิดกว้างให้มีนายกรัฐมนตรีคนนอก พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้นายกรัฐมนตรีมาจากคนนอก เพราะการเลือกนายกรัฐมนตรีต้องใช้ความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยมาจากการเลือกของสภา ซึ่งสภามาจากการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปพูดถึงในขณะนี้ ถ้าเดินไปไม่ได้จึงเป็นเรื่องนายกฯ คนนอก ซึ่งคนที่เลือกก็คือ ส.ส. ที่อยู่ในสภา ถ้าเขาไม่เลือกคนนอก ก็เป็นนายกฯ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่มีการเปิดช่องอะไรทั้งนั้น เพราะเป็นไปไม่ได้
“นายกฯ”พอใจผลการเยือนรัสเซีย

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ประเทศรัสเซีย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงผลการเยือนประเทศรัสเซียอย่างเป็นทางการว่า โดยปกติแล้ว การเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการ รัสเซียจะจัดขึ้นที่กรุงมอสโก แต่ในครั้งนี้ รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีรัสเซียให้เกียรติจัดขึ้นที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เนื่องจากเป็นเมืองที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซีย อีกทั้งนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นบ้านเกิดของทั้งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีรัสเซีย ตนรู้สึกพอใจการเดินทางเยือนรัสเซียในครั้งนี้ และยินดีที่ได้รับความร่วมมือจากรัสเซีย โดยการเดินทางเยือนรัสเซียของตนเป็นครั้งแรกหลังจากที่ว่างเว้นมา 11 ปี และเนื่องในโอกาสที่ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-รัสเซียจะครบรอบ 120 ปี ในปี 2560 ซึ่งทั้ง 2 ประเทศได้เตรียมการเฉลิมฉลองในวาระดังกล่าวไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวัฒนธรรม

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า สำหรับการหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีรัสเซีย ได้พูดคุยกันหลายเรื่องเพื่อให้การลงนามความตกลงระหว่างกันเป็นรูปธรรมได้โดยเร็ว ซึ่งถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นหลักการในความร่วมมือหลายด้าน เช่น ความมั่นคง เศรษฐกิจ พลังงาน ซึ่งการมาครั้งนี้เป็นคำตอบว่าเราไปทุกประเทศเพื่อเป็นทางเลือก ประเทศไทยต้องเป็นได้ทั้งประเทศเกษตรกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมเบาและหนัก แต่จะต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ทั้ง 2 ฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างกันให้มากขึ้น โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จะเปิดเที่ยวบินตรงมายังกรุงมอสโกอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ พร้อมสนับสนุนรัสเซียที่เสนอขายสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของภาคอุตสาหกรรมไทย ที่จะมีแหล่งเครื่องจักร อุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยไทยเสนอให้รัสเซียซื้อสินค้าทางการเกษตรและข้าวจากไทยให้มากขึ้น เพื่อความมั่นคงทางอาหารของรัสเซีย
ปัดเลือกข้าง-ยันไม่มีเจรจาซื้ออาวุธ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การมาเยือนรัสเซียครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกข้างหรือเปลี่ยนนโยบายทางการทูต เราไม่เคยเลือกข้าง เราเป็นประเทศเสรี ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าการเดินทางครั้งนี้ ไม่มีการเจรจาซื้อเฮลิคอปเตอร์ หรืออาวุธตามที่มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต แต่ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเรื่องการพูดคุยเกี่ยวกับความมั่นคงที่กองทัพจะต้องไปพิจารณาในรายละเอียด ทั้งเรื่องของงบประมาณ ความจำเป็น และความคุ้มค่า ที่จะต้องสามารถใช้ร่วมกันได้ในหลายหน่วยงาน และหากจะมีการซื้ออาวุธก็จะทำแบบรัฐต่อรัฐ ไม่มีเรื่องเงินใต้โต๊ะ จึงอย่าตั้งธงว่าจะมีการทุจริตเกิดขึ้น นอกจากนี้เราจะใช้การค้าตอบแทนเข้ามาดำเนินการด้วย ซึ่งการมาครั้งนี้มีการลงนามมากกว่า 10 ฉบับ แต่ไม่ได้เสียเงินเลยสักบาท

Leave a comment