วันที่ 10 พฤษภาคม 2559 เมื่อเวลา 08.30 น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เสนอแนวทางปรองดอง ด้วยการออกกฎหมายรอการกำหนดโทษว่า ทาง สปท. ยังไม่มีการประสานเพื่อหารือเรื่องดังกล่าวกับตน จึงไม่ทราบว่าจะมีการหารือกันเมื่อใด ซึ่งแนวทางดังกล่าวนั้น ยังตอบไม่ถูกว่าจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ทั้งนี้นายเสรีเคยพูดถึงเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยตนได้ให้แนวทางไปว่า อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติก็ขอให้เสนอมา ทางรัฐบาลยินดีรับฟัง อีกทั้งการปรองดองก็เป็นนโยบายของรัฐบาลซึ่งเราก็คิดอยู่ และอยากฟังแนวทางของ สปท. ซึ่งข้อเสนอต่างๆ จะต้องได้รับการยอมรับมากพอสมควร หากคิดจะปรองดอง แต่ยังไม่ตกผลึกในวิธีคิดจะก่อให้เกิดความแตกแยกจึงไม่สมควร อย่างไรก็ดีตนเชื่อว่าขณะนี้แนวทางดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนของการระดมความเห็น และสมาชิกบางคนของ กมธ.การเมืองก็ยังไม่ทราบเรื่อง ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่อยากพูดอะไรมาก แต่เมื่อใดที่มีการนัดหมายตนยินดีที่จะมีการหารือเพื่อรับฟังแนวทางความเป็นไปได้

          นอกจากนี้ นายวิษณุ กล่าวอีกว่า ในส่วนของรัฐบาลยังติดอยู่ 3 ประการ คือเวลา ความเป็นไปได้ และการยอมรับจากประชาชน ซึ่งเวลานี้อาจจะโยนหินถามทางก็ทำได้ แต่เท่าที่ทราบยังมีคนเห็นแย้งในวิธีการ ซึ่งปัญหาในวิธีการอาจจะติดอยู่เช่น จะให้คดีใดเข้ามาในกระบวนการบ้าง โดยผู้กระทำความผิดมีหลายประเภท ทั้งผู้สนับสนุน ผู้ดำเนินการ ผู้สมรู้ร่วมคิด และยังมีรายละเอียดของกระบวนการ เพราะหากใช้คำว่าชะลอการกำหนดโทษ หรือพักการลงโทษ ซึ่งแตกต่างจาก การอภัยโทษและการนิรโทษกรรม โดยขั้นตอนดังกล่าวจะต้องไปศาลเพื่อสารภาพผิด ตรงนี้จะมีปัญหาแม้รัฐบาลอาจจะชอบ แต่อีกฝ่ายอาจจะไม่ชอบ เพราะเขาถือว่าไม่มีความผิดเป็นผู้บริสุทธิ์ จึงไม่มีเหตุที่จะต้องไปสารภาพ

          “ก็คงจะให้ฝ่ายผู้เสนอคิดให้หมดทั้งกระบวนการ แต่ถ้าจะคุยกันก่อนเราก็ไม่ขัดข้อง และผมไม่ทราบว่ากฎหมายเขาจะเขียนอย่างไร ซึ่งหากเขียนว่าเมื่อรับผิดต่อศาลแล้วจะไม่มีการลงโทษตรงนี้จะเป็นการบังคับศาลหรือไม่ ตรงนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเมื่อนายเสรีเสนอใช้คำว่ารอการกำหนดโทษ หมายถึงศาลตัดสินว่าผิด แต่ยังไม่บอกว่ามีโทษเท่าไหร่ แต่ให้กลับไปบ้านแล้วอย่าทำผิดอีก หากทำผิดอีกศาลจะเรียกตัวกลับมาแล้วเพิ่มโทษให้ ทุกวันนี้มีการใช้กันอยู่แล้ว แต่ไม่มีการทำเป็นหมู่ ดังนั้นเมื่อนายเสรีเสนอให้ทำเป็นหมู่เพื่อความปรองดอง ก็ให้เขาพูดจนตกผลึกแล้วค่อยมาคุยกัน” นายวิษณุ กล่าว

          เมื่อถามว่า ในส่วนที่นายเสรีเสนอให้ใช้มาตรา 44 ถอนฟ้องในคดีที่มีความผิดไม่ร้ายแรงนั้น นายวิษณุกล่าวว่า มาตรา 44 เป็นวิธีการอย่าเพิ่งมาพูดกัน ควรจะเอาไว้ทีกหลัง ซึ่งแนวคิดดังกล่าวจะออกเป็น พ.ร.บ. หรือ พรก. ต้องให้ความคิดตกผลึกเสียก่อน จึงค่อยมาว่ากัน เมื่อถามต่อว่าต้องรอให้เป็นมติของ สปท. ก่อนที่จะหารือกับรัฐบาลหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า หากนายเสรีอยากขอคุยก่อนแล้วจะไปทำต่อก็ไม่มีปัญหา และตอบไม่ได้ว่าข้อเสนอดังกล่าวจะเป็นผลหรือจะแท้ง