ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/detail/20160521/228036.html
2ปีรัฐประหาร‘ขัดแย้งซ่อนรูป’ : นัฏฐิกา โล่ห์วีระ ผู้สื่อข่าว NOW26 รายงาน
วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม เป็นวันครบรอบ 2 ปีการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยสาเหตุหลักของการตัดสินใจยึดอำนาจในครั้งนั้น คือการยุติความขัดแย้งทางการเมือง การชุมนุมบนท้องถนน และต้องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมา 2 ปีแล้ว ความปรองดองและแผ่นดินที่งดงามได้คืนกลับมาตามเสียงขับขานของบทเพลงที่เปิดอยู่ทุกวันหรือไม่ ถือเป็นโจทย์ที่น่าสนใจ และ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักวิชาการด้านสันติวิธี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีคำตอบทั้งในทางวิชาการและข้อเท็จจริง
– เหตุผลในการรัฐประหาร คือต้องการยุติการเมืองบนท้องถนน รวมทั้งความขัดแย้งต่างๆ ตอนนี้ผ่านมา 2 ปีแล้ว อาจารย์มองว่าการแก้ไขความขัดแย้งประสบความสำเร็จหรือไม่ และการปรองดองจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า
โจทย์การยุติความขัดแย้ง คิดว่าโจทย์นี้ผิดตั้งแต่ต้นหรือเปล่า เพราะความขัดแย้งในมุมมองของผม ความขัดแย้งเป็นธรรมชาติในสังคม ในสังคมการเมือง ความขัดแย้งถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าโจทย์คือการรัฐประหารเกิดขึ้นเพราะต้องการขจัดความขัดแย้ง โจทย์คงผิดตั้งแต่ต้น
แต่ว่าถ้าโจทย์ของคสช.เมื่อ 2 ปีที่แล้ว คือการแก้ปัญหาความรุนแรงบนท้องถนนซึ่งเกิดขึ้นประปราย แก้ปัญหาความอยู่ร่วมกันได้ยากในสังคมการเมือง อันนั้นก็อธิบายได้ แต่วิธีการที่ใช้คือวิธีการรัฐประหาร ส่งผลอย่างไรต่อการแก้ปัญหาดังกล่าว และในที่สุดจะส่งผลอย่างไรต่อกระบวนการสร้างความปรองดองเช่นที่ใครหลายฝ่ายในสังคมต้องการ
– ถ้าอย่างนั้น ขณะนี้เราเกิดการปรองดองจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงการซุกปัญหาไว้ใต้พรม
สิ่งที่เรียกว่าการปรองดอง ค่อนข้างซับซ้อนในโลกนี้ การปรองดองเกิดขึ้นได้หลังจากที่ความรุนแรงยุติลง ปัญหาคือเรามีความรุนแรงบนท้องถนน และคณะบุคคลใช้วิธีรัฐประหารมายุติความรุนแรงนั้น และสิ่งที่เราอยู่ขณะนี้คือระบอบรัฐประหาร คำถามคือ ในตัวระบอบรัฐประหารเองมีความรุนแรงอยู่หรือไม่ และถ้ายังมีอยู่แสดงว่าเรายังอยู่ในระบอบของความรุนแรงที่เกิดขึ้น การปรองดองก็ไม่เกิด
– ความขัดแย้งเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ โมเดลทางการเมืองต่างๆ เราจะก้าวข้ามความเห็นต่างไปได้อย่างไร
รัฐธรรมนูญ การเลือกตั้ง ประชามติ ของทั้งหมดนี้คือความพยายามว่าตกลงร่างรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ถ้าพูดจากปากของผู้ร่างหรือปากของคสช. ทำอย่างไรให้มันมีความชอบธรรม และคำตอบของความชอบธรรมนั้นก็คือการทำประชามติ แต่อีกฝ่ายหนึ่งมองว่าที่มาของมันไม่ชอบธรรมตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว จึงไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญนี้ตั้งแต่ต้น
แต่ตามกฎหมายประชามติ คุณจะคัดค้านก็ไม่ได้ พูดความเห็นอื่นก็ไม่ได้ มันเป็นการบังคับให้คนไปลงคะแนนเสียงวันที่ 7 สิงหาคม บนฐานที่ไม่แน่ใจว่ามันเป็นอะไร เพราะไม่มีการถกเถียงกัน คำถามก็คือแล้วจะปรองดองบนฐานอะไร โอกาสในการปรองดองผ่านกลไกแบบนี้จึงยากยิ่งขึ้น การปรองดองในสถานการณ์ความขัดแย้งมันยากอยู่แล้ว และการปรองดองในสถานการณ์ขัดแย้งที่ถูกบีบบังคับก็เลยยิ่งลำบาก
– ในอนาคตเราจะปรองดองและเดินก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไร
เราได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ “คำสัญญาของการปรองดอง” ประเด็นที่ค้นพบคือ ความขัดแย้งทุกอันต้องนั่งลงคุยกัน ต้องหาวิธีเชื่อมโยงกัน แต่ถ้าเดินทางผ่านสันติวิธี โอกาสปรองดองสูง แต่ถ้าเดินทางผ่านการบีบบังคับ ใช้ความรุนแรง โอกาสปรองดองมันต่ำ ถ้าเจตนาของเราคือการปรองดองจริงๆ
ถ้าอย่างนั้นเงื่อนไขการปรองดองมีอะไรบ้าง เรื่องสำคัญคือ ทำอย่างไรจึงจะมีพื้นที่ให้ฝ่ายที่เขาเห็นต่างสามารถเชื่อมโยงกันได้บ้าง สามารถแสดงความคิดความเห็นของเขาได้ ถ้าทำสวนทางจะยิ่งเกิดความขัดแย้งหรือไม่ แต่ถ้ายิ่งไม่ทำ ความขัดแย้งมันถูกกดลงไป เรียกว่าเป็นความขัดแย้งซ่อนรูป การไม่เห็นความขัดแย้งปรากฏไม่ได้แปลว่าความขัดแย้งไม่ดำเนินอยู่ และถ้าถามผม ความขัดแย้งที่ซ่อนรูปน่ากลัวกว่าความขัดแย้งที่ปรากฏเสียอีก ถึงวันหนึ่งก็ระเบิดเป็นความรุนแรง
อีกอันคือ ถ้ายิ่งใช้ความรุนแรงกด บังคับ สายสัมพันธ์ระหว่างคนที่ขัดแย้งอยู่แล้วจะถูกกร่อนให้สูญเสียไป ความปรองดองคือการทำอย่างไรให้คนกลับมาคืนดีกัน ถ้าสมมุติไม่มีพื้นที่ให้แสดงความเห็นเลย และยังถูกกดทับอีก ความสัมพันธ์ก็ไม่ดี เมื่อใส่ความเกลียดชังกันผ่านสื่อต่างๆ เข้าไป โอกาสในความสำเร็จปรองดองก็ยิ่งยาก
“วิธีการก้าวข้ามคืออย่าทำให้เหตุปัจจัยพวกนี้มันเข้มแข็ง เช่น การเกลียดชัง พื้นที่ถูกกด ถ้าชีวิตคนในสังคมเต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ไม่มีประโยชน์ และถ้าเราปรองดองไม่สำเร็จ โอกาสเกิดประชาธิปไตยก็ไม่ง่าย”
