ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/624201
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 23 พ.ค. 2559 05:01

สรรพากรกล่อมร้านค้าทองจดทะเบียนเป็นบริษัทนิติบุคคล แทนการเสียภาษีบุคคลธรรมดา เพื่อรองรับอนาคตประเทศไทยเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี หลังจากที่กรมสรรพากรจะนำอี–เพย์เม้นท์มาใช้เดือน ต.ค.นี้ ขณะที่ผลการจัดเก็บรายได้เดือน เม.ย. ส่งสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (22 พ.ค.) สมาคมค้าทองคำร่วมกับกรมสรรพากรจัดสัมมนา “โอกาสทอง ร้านทองเปลี่ยนผ่านสู่นิติบุคคล” โดยนายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวในงานสัมมนาว่า การจัดงานสัมมนาในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ได้หารือกับสมาคมค้าทอง เมื่อวันที่ 6 มี.ค.59 เพื่อต้องการให้ผู้ค้าทองคำทั่วประเทศเสียภาษีอย่างถูกต้องและครบถ้วน เพราะในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีมากขึ้น โดยจะมีการนำระบบอี-เพย์เม้นท์ (e-payment) หรือการชำระเงินด้วยอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้ในชีวิตประจำ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนของประเทศลดลงมากกว่า 100,000 ล้านบาท
ดังนั้น กรมสรรพากรจึงต้องเร่งทำความเข้าใจเรื่องการเสียภาษีอย่างถูกต้องให้แก่ผู้ประกอบการทุกประเภท โดยเฉพาะผู้ประกอบการทองคำ (ร้านตู้แดง) ที่มีจำนวนมากถึง 7,000 ราย แต่ยังเสียภาษีไม่ครบถ้วนให้สามารถเดินหน้าไปพร้อมกับ e-payment ที่กรมสรรพากรจะเริ่มนำมาใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ต.ค.นี้
“ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่เสียภาษีประเภทบุคคลธรรมดา แบบเหมาจ่ายกว่า 2 ล้านราย และที่จดทะเบียนเป็นบริษัทนิติบุคคลอีกประมาณ 400,000 ราย โดยเราจะชี้ให้เห็นว่า การจดทะเบียนเป็นบริษัทนิติบุคคลนั้นมีข้อดีกว่าการเสียภาษีแบบบุคคลธรรมดา เพราะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นสามารถนำมาหักเป็นต้นทุนได้และที่สำคัญ ธุรกิจค้าทองคำนั้นไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ยกเว้นค่ากำเหน็จจากทองรูปพรรณที่ต้องเสียภาษีแวต ทำให้ผู้ประกอบการค้าทองเสียภาษีมากเกินกว่าความเป็นจริง เนื่องจากมีการลงบัญชีไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้นทาง”
ส่วนผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในเดือน เม.ย.59 มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะภาษีธุรกิจเฉพาะจัดเก็บได้ 6,035 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกัน ของปีก่อนถึง 36.83% และยังสูงกว่าประมาณการ 1,624 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา
“ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา มีความประหลาดใจเกิดขึ้นหลายเรื่อง เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล เก็บสูงกว่าประมาณการ 5.08% หรือ 1,108 ล้านบาท โดยจัดเก็บภาษีได้ 22,911 ล้านบาท ทั้งที่ในเดือน เม.ย.มีวันหยุดหลายวันติดต่อกันเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ และยังไม่ใช่เดือนของฤดูกาลการเสียภาษีของบริษัทนิติบุคคล จะครบรอบยื่นภาษีในเดือน พ.ค.และเดือน ส.ค.ของทุกปี ขณะที่ยอดการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถจัดเก็บได้ 31,487 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,850 ล้านบาทหรือ 6.24% และยังสูงกว่าประมาณการ 324 ล้านบาท”
นายประสงค์ กล่าวว่า สัญญาณของภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวเริ่มดีขึ้นตั้งแต่เดือน ก.พ.59 แต่มีความชัดเจนมากขึ้นในเดือน เม.ย. โดยผลการจัดเก็บภาษีของกรม สรรพากรดีขึ้นเกือบทุกรายการทั้งภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล ส่วนภาษีแวตในเดือน เม.ย.จัดเก็บได้ 62,111 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,295 ล้านบาทหรือ 2.13% แสดงให้เห็นว่า การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนภายในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในเดือน เม.ย.59 กรมสรรพากรจัดเก็บรายได้ 123,724 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 5,916 ล้านบาทหรือ 5.02% แต่ยังจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการเล็กน้อย.