ภัยแล้งฉุดจ้างงานลดรายได้หด-หนี้ท่วมหัว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/628783

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 31 พ.ค. 2559 05:01

 

สศช.ห่วงเกษตรกรจนซ้ำซาก

สศช.ห่วงภาคเกษตร หลังเกิดวิกฤติหนักจากภัยแล้งรุนแรงต่อเนื่อง ฉุดการจ้างงานภาคเกษตรหดตัวต่อเนื่อง 8 ไตรมาส ทำแรงงานภาคเกษตรหดหาย 4.6 แสนคน รายได้ต่อเดือนคนงานเกษตร 2 ปี ขยับขึ้นแค่ 6 บาท แต่รายจ่ายแซงหน้า ดันหนี้พุ่ง 40.28% จาก 4.2 หมื่นบาท เป็น 5.9 หมื่นบาท

นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ภาวะสังคมไทยไตรมาสแรกปี 59 แม้โดยรวมจะมีความเคลื่อนไหวในเชิงบวก ทั้งด้านการจ้างงานโดยรวม รายได้ และผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่ดีขึ้น แต่ยังมีประเด็นสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังเพื่อบรรเทาผลกระทบของปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คือ การจ้างงานภาคเกษตรที่ลดลง เนื่องจากผลกระทบจากภัยแล้ง ซึ่งจะต้องเร่งแก้ไขปัญหา และจัดการผลกระทบจากภัยแล้งให้กับเกษตรกร

“การจ้างงานในไตรมาสแรกในภาพรวมเพิ่มขึ้น 0.2% จากช่วงเดียวกันของปี 58 มีการจ้างงานจำนวน 37.68 ล้านคน เป็นการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานนอกภาคเกษตร 1.5% ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจสาขาก่อสร้าง การขนส่ง โรงแรมและภัตตาคาร และค้าปลีก แต่การจ้างงานในภาคเกษตรยังหดตัวอยู่ โดยลดลง 2.7% จากช่วงเดียวกันของปี 58 ส่วนในปี 58 การจ้างงานภาคเกษตรอยู่ที่ 12.27 ล้านคน ลดลง 3.6% หรือลดลง 460,000 คน จากปี 57 ที่มีจำนวน 12.73 ล้านคน และจากสถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรงต่อเนื่อง ทำให้การจ้างงานภาคเกษตรลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 8 ทำให้เกษตรกรส่วนหนึ่งต้องปรับตัว โดยย้ายไปทำงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น แต่การจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้น ยังไม่สามารถรองรับแรงงานภาคเกษตรได้ทั้งหมด กลุ่มที่เคลื่อนย้ายออกไปมีอายุระหว่าง 15-39 ปี เนื่องจากมีความยืดหยุ่นต่อการปรับตัวมากกว่ากลุ่มสูงวัย”

ขณะเดียวกัน ผลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนในช่วง 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย.) ปี 58 พบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 56 เกษตรกรมีรายได้ลดและหนี้เพิ่ม เพราะการลดลงของพื้นที่ และผลผลิต รวมถึงการลดลงของการจ้างงานภาคเกษตรอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อรายได้ หนี้สิน และความเป็นอยู่ของเกษตรกร โดยกลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด กลุ่มคนงานภาคเกษตร ที่ในปี 58 มีหนี้สินเพิ่มขึ้นถึง 40.28% เมื่อเทียบกับปี 56 หรือมีหนี้สินเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 59,778 บาท จากรายละ 42,613 บาท ขณะที่รายได้เพิ่มขึ้นเพียง 0.04% หรือเพิ่มขึ้นเพียงเดือนละ 6 บาทเท่านั้น จากเดือนละ 13,915 บาท เพิ่มเป็น 13,921 บาท ส่วนรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากเดือนละ 12,384 บาท เป็น 13,009 บาท หรือเพิ่มขึ้น5.05%

สำหรับเกษตรกรผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดิน มีหนี้สินเพิ่มขึ้น 15.21% มาอยู่ที่ 136,534 บาทในปี 58 จากปี 56 มีหนี้สินที่ 118,512 บาท ขณะที่รายได้ลดลง 1.26% เหลือเดือนละ 21,179 บาท จากเดิมเดือนละ 21,449 บาท ส่วนรายจ่ายเพิ่มขึ้น 7.70% จากเดือนละ 15,458 บาท เพิ่มเป็น 16,649 บาท ขณะที่ผู้ที่เช่าที่ดินทำกิน มีหนี้สินเพิ่มขึ้น 28.58% จากเฉลี่ยรายละ 147,498 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 189,660 บาท และมีรายได้เพิ่มขึ้น 0.95% จากเดือนละ 21,697 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 21,903 บาท ส่วนรายจ่ายเพิ่มขึ้น 12.46% จากเดือนละ 14,545 บาท เพิ่มเป็น 16,357 บาท ซึ่งในช่วงปี 55-57 รายได้ที่มาจากการทำเกษตรมีอัตราการขยายตัวติดลบต่อเนื่อง เป็นผลมาจากแรงกดดันด้านราคาและภาวะภัยแล้งรุนแรง ที่สร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร

“แนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น ต้องกำหนดโครงการเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรที่มีลักษณะยืดหยุ่น เน้นให้สามารถปรับโครงการให้สอดคล้องกับช่วงเวลา พื้นที่ และการเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ รวมถึงการให้ความรู้ ความเข้าใจแก่เกษตรกรถึงความเสี่ยงในการลงทุนผลิต เพื่อลดปัญหาการขาดทุน รวมถึงการสนับสนุนแหล่งเงินทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุน และปัญหาหนี้ของเกษตรกร”

นอกจากนี้ ยังควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ โดยการสร้างการตระหนักรู้ถึงผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง หรือภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ขณะที่ในระยะกลางและระยะยาว ต้องพัฒนาศักยภาพเกษตรกร เพื่อให้สามารถปรับตัว และรับมือการเปลี่ยนแปลงกับสภาพอากาศในระยะยาว โดยการสนับสนุนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ใหม่ๆ ในด้านการผลิตระหว่างกลุ่มเกษตรกร ให้เกิดความรู้ และขยายเทคนิควิธีการผลิตใหม่ๆ เพิ่มการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในภาคเกษตรสำหรับพื้นที่ประสบภัยแล้งซ้ำซาก

ขณะเดียวกัน ต้องปรับโครงสร้างการผลิตในภาคเกษตรให้มีศักยภาพเพียงพอเพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยง การผลิตแปลงใหญ่ผ่านระบบการจ้างผลิตระหว่างรัฐกับชุมชนหรือเกษตรกร สนับสนุนเกษตรกรก้าวหน้า (สมาร์ท ฟาร์มเมอร์) ที่มีการใช้เทคนิคและวิธีการเพาะปลูก เพื่อเป็นต้นแบบและสร้างความเชื่อมโยงการผลิตกับเกษตรกรรายย่อยให้เกิดการจ้างงานในชุมชน และมีความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงต้องมีการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยบูรณาการงานที่สัมพันธ์กับระบบน้ำ มีกลไกในการบริหารจัดการเพื่อป้องกันการเกิดภัยแล้ง อีกทั้งวางแผนรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอย่างเป็นระบบทั้งการสร้างโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน การปรับวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ การปรับปรุงเทคนิคการประกอบอาชีพ เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ.

Leave a comment