ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05065150159&srcday=2016-01-15&search=no
| วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 615 |
รายงานพิเศษ เกษตรดี…เมืองอุทัยฯ
สุจิต เมืองสุข
กระชังปลา ริมน้ำสะแกกรัง กลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์น้ำดีเด่น ระดับประเทศ
ปี 2538 เป็นปีที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ของชาวตำบลท่าซุง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี โดยเฉพาะกลุ่มที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง รวมถึงชุมชนที่อาศัยอยู่บนเกาะเทโพ ซึ่งถือเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอเมือง และมีลักษณะพื้นที่เป็นเกาะ ก่อนปี 2538 ชาวบ้านแถบนี้ทำเกษตรกรรม ทำไร่และทำนา มีส่วนน้อยที่ประกอบอาชีพประมง
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สืบเนื่องจากภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2538 ความเสียหายจากอุทกภัยครั้งนั้นส่งผลให้พื้นที่เกษตรกรรมถูกทำลาย ไม่สามารถทำการเกษตรต่อไปได้ อีกทั้งชาวบ้านไม่กล้าเสี่ยง ทุนที่มีหายไป เป็นผลจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น เกิดหนี้สิน มีน้อยรายที่กล้าลงทุนเพราะยังพอมีทุนทรัพย์สำรองบ้าง แต่ส่วนใหญ่ยอมที่จะอยู่นิ่ง เพราะไม่กล้าก้าวเดิน ไม่ว่าจะเป็นทางใด
คุณวันเพ็ญ นาทอง จากเดิมที่เคยทำหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านมาก่อน ทำให้คนส่วนใหญ่รู้จักเธอดีในนามของ ผู้ใหญ่วันเพ็ญ มากกว่า
ผู้ใหญ่วันเพ็ญ เป็นผู้หญิงที่มีความมุ่งมั่น กล้าเสี่ยงและริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ให้กับชุมชนที่อยู่อาศัย เมื่อเกิดภาวะหยุดนิ่งไม่มีใครเป็นผู้นำ ผู้ใหญ่วันเพ็ญ จึงก้าวออกมาเป็นผู้นำ เมื่อมีการประชาคมหมู่บ้าน มีข้าราชการในหลายภาคส่วนมาพูดคุย เพื่อหาทางออกในการประกอบอาชีพให้กับชุมชน ในท้ายที่สุดก็สรุปตรงที่ การเลี้ยงปลากระชัง เพราะเป็นอาชีพดั้งเดิมของชาวตำบลท่าซุง มีการสร้างบ้านอยู่บนกระชังปลา ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการเลี้ยงปลากระชัง ก็ทำให้ชุมชนมีชีวิตและสามารถดำรงอยู่มาได้ก่อนที่จะหันมาทำเกษตรกรรมบนพื้นดินเสียอีก
“เมื่อสรุปกันได้ว่าจะเลี้ยงปลากระชังแทนการทำไร่ ทำนา ฉันจึงขออาสาสมัครที่พร้อมจะลงทุน จำนวน 10 คนแรก ก้าวไปพร้อมๆ กับฉัน เราเริ่มกันด้วยการลงหุ้นเท่าๆ กัน จัดตั้งเป็นกลุ่ม เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันภายในกลุ่ม ซึ่งการก่อตั้งกลุ่มนี้จำเป็นต้องมีขึ้น เพื่อแสดงให้หน่วยงานภายนอกเห็นถึงความเข้มแข็ง และพร้อมเข้ามาให้ความช่วยเหลือกลุ่ม เมื่อจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือใดๆ”
ผู้ใหญ่วันเพ็ญ เล่าว่า ทุกคนที่ลงหุ้นร่วมกัน มีเงินไม่มากนัก พันธุ์ปลาก็ใช้วิธีช้อนจากแม่น้ำสะแกกรัง ส่วนใหญ่ที่ช้อนได้ เป็นลูกปลาแรด ลูกปลาเทโพ ลูกปลาสวาย มีปลาชนิดอื่นบ้างไม่มากนัก แต่ก็เลี้ยงทุกชนิดที่ช้อนได้จากแม่น้ำสะแกกรัง เป็นการลดต้นทุนในการซื้อพันธุ์ปลา ยกเว้นสมาชิกบางคนที่พอมีงบประมาณบ้าง ก็ซื้อพันธุ์ปลามาเลี้ยง เพื่อให้มีพันธุ์ปลาแตกต่างจากแหล่งน้ำที่ช้อนได้ ส่วนกระชังเริ่มต้นจากสิ่งที่หาได้ในชุมชนคือ ไม้ไผ่ ทำให้การลงทุนไม่สิ้นเปลืองนัก
กลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์น้ำตำบลท่าซุง เป็นชื่อกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้น มีผู้ใหญ่วันเพ็ญเป็นประธาน มีสมาชิกเริ่มแรกเพียง 10 คน เมื่อสมาชิกมีความเห็นพ้องและช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกด้วยกันไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้กลุ่มมีความเข้มแข็ง แต่ในช่วงแรกเมื่อปลากระชังสามารถจับขายได้ ก็ประสบปัญหาทางการตลาด ถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อถึงกระชัง ผู้ใหญ่วันเพ็ญ บอกว่า หากไม่ขายก็จะทำให้ราคาปลาตกลงไปอีก เพราะจะกลายเป็นปลาเกินไซซ์ ตลาดไม่ต้องการ จึงจำเป็นต้องขาย แม้ว่าราคารับซื้อจะไม่ได้อย่างที่ทุกคนต้องการ
เมื่อเล็งเห็นแล้วว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ปัญหาด้านการตลาด การผลักดันกลุ่มให้เข้มแข็งเป็นหน้าที่ที่ละทิ้งไม่ได้ ผู้ใหญ่วันเพ็ญจึงหารือกับสมาชิกในกลุ่ม ขอความร่วมมือจากหน่วยงานราชการให้จัดสรรงบประมาณพากลุ่มไปศึกษาวิธีการบริหารจัดการ การตลาด เพื่อนำมาปรับใช้ให้เข้ากับกลุ่มของตน ระหว่างนั้น ยังได้เสนอขอสนับสนุนงบประมาณไปยังองค์กรเอกชนที่เห็นความสำคัญของการทำเกษตรกรรม ซึ่งความเข้มแข็งของกลุ่มทำให้ได้รับงบประมาณในการสร้างกระชังปลาที่ได้มาตรฐาน จำนวน 10 ลูก ครัวเรือนละ 1 ลูก ทั้งยังมีงบประมาณเหลือพอสำหรับการเดินทางไปศึกษาดูงานอื่นๆ อีก
ความโชคดีของกลุ่ม เมื่อศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดอุทัยธานี เข้ามาสอนเรื่องการเพาะพันธุ์ปลา โดยเฉพาะปลาแรด ซึ่งเป็นปลาในลุ่มน้ำสะแกกรัง เพื่อลดต้นทุนในการซื้อพันธุ์ปลา ซึ่งสมาชิกทุกคนเรียนรู้และนำมาปรับใช้ได้เป็นอย่างดี สร้างบ่อดินเพื่อการเพาะพันธุ์ ทั้งยังสามารถเพาะพันธุ์ปลาชนิดอื่นได้อีกด้วย
ปัญหาด้านการตลาด ได้รับการแก้ไขด้วยการเดินหน้าเข้าหาผู้บริโภค ผู้ใหญ่วันเพ็ญพาลูกกลุ่มนำปลาเดินเข้าไปขายยังตลาดเช้า ย่านอำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท จับจองแผง ระยะแรกขายไม่หมดเสียทีเดียว แต่เพราะความสดของปลา ไร้กลิ่นคาว และความหลากหลายของปลาบนแผง ทำให้ลูกค้าเริ่มติดใจ สั่งออเดอร์ล่วงหน้า ลูกค้าต้องการปลาอะไร ไซซ์ไหน ก็สามารถตอบสนองความต้องการได้ทั้งหมด ทำให้ปัจจุบันกลุ่มสามารถขายปลาได้วันละ 500-600 กิโลกรัม
“จากสมาชิกเพียง 10 คน เพิ่มเป็น 179 คนในปัจจุบัน ไม่เพียงแค่ชาวบ้านตำบลท่าซุง แต่มีชาวบ้านจากตำบลอื่นขอเข้าร่วมกลุ่ม เป็นกลุ่มเครือข่ายที่สามารถส่งปลาให้ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ ได้แก่ ตำบลท่าซุง น้ำซึม อุทัยใหม่ น้ำตก เกาะเทโพ สะแกกรัง สมาชิกจะประชุมร่วมกันเดือนละครั้ง เพื่อจดบันทึกเป็นตารางไซซ์ปลาและชนิดของปลา เมื่อลูกค้าต้องการปลาชนิดใด ไซซ์ใด ก็จะติดต่อเครือข่ายตามตารางที่จดบันทึกไว้ เพื่อนำส่งปลาให้กับลูกค้า ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี”
เมื่อถามถึงปัญหาอุปสรรค ผู้ใหญ่วันเพ็ญ บอกว่า ปัญหาที่ประสบคือ ปัญหาน้ำเสีย ทำให้ปลาตาย ขายไม่ได้ราคา จึงของบประมาณไปดูงานในแหล่งประมงอื่น จากนั้นนำมาประยุกต์เพื่อแก้ปัญหาของกลุ่ม พบว่า การติดสปริงเกลอร์ปรับสภาพน้ำ ช่วยลดจำนวนปลาตายได้มาก รวมทั้งการนำจุลินทรีย์มาใช้ปรับสภาพน้ำ
การพัฒนาของกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์น้ำตำบลท่าซุง ไม่หยุดเพียงเท่านี้ เศษไส้ปลา หัวปลา กระดูกปลา ซึ่งปกติเหลือทิ้ง ผู้ใหญ่วันเพ็ญนำกลับมาบดรวมผสมกับรำและข้าว เป็นอาหารให้ปลา ลดต้นทุนไปได้อีกมาก
การปล่อยปลาลงกระชังของกลุ่ม ใช้วิธีปล่อยไม่พร้อมกัน เว้นระยะห่างกันประมาณ 1-2 เดือน แล้วแต่ชนิดของปลา เพื่อให้มีปลาจับขายได้ตลอดปี ปัจจุบันมีปลาหลากหลายชนิด อาทิ ปลาแรด ปลาเทโพ ปลาดุก ปลาสวาย ปลานิล ปลาทับทิม ปลาสังกะวาด ซึ่งเฉพาะปลาสังกะวาด เป็นปลาที่มีลักษณะคล้ายปลาเนื้ออ่อน เนื้อเป็นสีขาว ไม่มีก้างอ่อน มีแม่ค้าจากจังหวัดนครนายกและจังหวัดในภาคอีสาน ติดต่อมาขอซื้อเป็นเจ้าประจำ
การพัฒนาล่าสุดของกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์น้ำตำบลท่าซุง ผู้ใหญ่วันเพ็ญ ยังคงต่อยอดจากการเลี้ยงปลากระชังขายสด โดยมองเห็นโอกาสในการขายสินค้า และผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้วในชุมชนคือ ปลาตกไซซ์ จะนำปลาเหล่านั้นมาหมักเป็นปลาร้า ปลาส้ม แหนมปลา เมื่อมีหน่วยงานราชการเปิดโอกาสให้นำสินค้าไปขาย สินค้าแปรรูปของกลุ่มก็จะได้รับเลือกให้นำไปจำหน่ายและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ไม่เคยเหลือกลับมาสักครั้ง
“สำหรับปลาร้าของเรา เรียกว่า ปลาร้าด่วน เราจะทำจากปลาสวาย หมักเพียง 7 วัน ก็สามารถนำไปทอดรับประทานได้ เป็นปลาร้าที่นำไปทอดรับประทาน ไม่ใช่ปลาร้าที่นำไปหลนรับประทาน จำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 80 บาท จึงเรียกว่า ปลาร้าด่วน ซึ่งความพิเศษของปลาร้าด่วนของเราคือ ไม่มีกลิ่น และใช้เวลาหมักเพียง 7 วัน ก็รับประทานได้แล้ว”
มุมมองของผู้ใหญ่วันเพ็ญ ยังเห็นอีกว่า ในแต่ละวัน ลำน้ำสะแกกรังมีเรือนักท่องเที่ยวล่องไปกลับวันละไม่ต่ำกว่า 30 เที่ยว จึงน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะทำแพรองรับนักท่องเที่ยว สำหรับจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของจังหวัด พ่วงด้วยสินค้าแปรรูปพื้นบ้านของชุมชน เป็นการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ ก่อให้เกิดรายได้ให้กับชุมชนอีกทางด้วย แต่โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการนำเสนอของกลุ่ม ซึ่งหากประสบความสำเร็จจะเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยกระจายรายได้ให้กับชุมชน
กลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์น้ำตำบลท่าซุง ยังเปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ สำหรับผู้สนใจลงทุนเลี้ยงปลากระชัง และการเพาะพันธุ์ปลา สนใจติดต่อศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดอุทัยธานี โทรศัพท์ (056) 980-587 หรือสายตรงถึง ผู้ใหญ่วันเพ็ญ นาทอง โทรศัพท์ (081) 953-9866
การเลี้ยงปลาแรดในบ่อดิน
อัตราการปล่อย 1-3 ตัว/ตารางเมตร ขนาดลูกปลา 2-5 เซนติเมตร อาหารที่ให้แบ่งเป็นช่วงๆ ลูกปลาขนาดเล็ก 2-3 เซนติเมตร ให้อาหารลูกกบ ประมาณ 1-2 เดือน หลังจากนั้นเปลี่ยนเป็นอาหารเม็ดสำเร็จรูปลอยน้ำโปรตีน ไม่ต่ำกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ และให้อาหารเสริมจำพวกพืช ผัก ผลไม้สุกต่างๆ ระยะเวลาในการเลี้ยงประมาณ 10-12 เดือน น้ำหนักเฉลี่ย 800-1,200 กรัม
การเลี้ยงปลาแรดในกระชัง
อัตราการปล่อย 20-50 ตัว/ตารางเมตร ขนาดลูกปลา 5-10 เซนติเมตร อาหารที่ใช้เลี้ยงอาหารเม็ดสำเร็จรูปลอยน้ำ โปรตีนไม่ต่ำกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ และให้อาหารเสริมจำพวกพืช ผัก ผลไม้สุกต่างๆ ระยะเวลาในการเลี้ยงประมาณ 18-24 เดือน น้ำหนักเฉลี่ย 800-1,200 กรัม ต้นทุนการเลี้ยงประมาณ 70 บาท