ปลุกวัยใส ตื่นรู้ ที่มาอาหารปลอดภัย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05093150159&srcday=2016-01-15&search=no

วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 615

เยาวชนเกษตร

ธนสิทธิ์

ปลุกวัยใส ตื่นรู้ ที่มาอาหารปลอดภัย

เมื่อโลกเปลี่ยนแปลง วิถีการดำเนินชีวิตคนก็เปลี่ยนไป ความเร่งรีบเพื่อให้ก้าวทันตามเข็มนาฬิกาที่หมุนผ่านไปในแต่ละวัน ทำให้หลงลืมรายละเอียดสำคัญบางอย่างของชีวิต โดยเฉพาะเรื่องพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความสะดวกสบายทำให้ลืมคำนึงความปลอดภัยต่อสุขภาพ เปิดช่องว่างให้สารเคมีที่ปนเปื้อนมากับอาหารเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย ส่งผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ตามมามากมาย ซึ่งไม่เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น แต่เด็กที่ภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงพอ เมื่อร่างกายได้รับสารพิษ โอกาสเสี่ยงเป็นโรคสูงกว่าคนทั่วไป

ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิสังคมสุขใจ หนึ่งในองค์กรที่ตระหนักและเห็นถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงได้จัดโครงการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในโรงเรียนขึ้น ภายใต้โครงการสามพรานโมเดล โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้คัดเลือกโรงเรียนในพื้นที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวน 10 โรงเรียน เข้าร่วมกิจกรรมนำร่อง สร้างองค์ความรู้การทำเกษตรอินทรีย์ครบวงจร เพื่อปลุกจิตสำนึกและกระตุ้นให้เยาวชนตื่นรู้เท่าทันพิษภัยของสารเคมี ใส่ใจเรื่องสุขภาพ และรู้จักเลือกอาหารปลอดภัยได้ด้วยตัวเอง

คุณอรุษ นวราช กรรมการผู้จัดการ สามพราน ริเวอร์ไซด์ และเลขาธิการมูลนิธิสังคมสุขใจ ในฐานะผู้ริเริ่มและขับเคลื่อนโครงการ กล่าวว่า โครงการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในโรงเรียน เป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้โครงการสามพรานโมเดล จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสร้างเกราะคุ้มกันภัยด้านสุขภาพ โดยการสร้างองค์ความรู้เรื่องการผลิตห่วงโซ่อาหารอินทรีย์ สอนให้เด็กรู้จักเลือกอาหารปลอดภัย และตระหนักถึงพิษภัยของสารเคมีที่ปนเปื้อนมากับอาหาร

“เราต้องปลุกพลังคนรุ่นใหม่ ให้หันมาเอาใจใส่สุขภาพของตนเองตั้งแต่ร่างกายยังแข็งแรง สอนให้เห็นถึงพิษภัยของสารเคมีที่แฝงมากับอาหาร แนะให้เขารู้จักเลือกอาหารปลอดภัย และเรียนรู้ที่จะผลิตห่วงโซ่อาหารอินทรีย์ได้เอง เพราะการที่สุขภาพจะสมบูรณ์ แข็งแรง นั้น ไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลังกาย หากแต่อาหารที่รับประทานเข้าไปมีส่วนสำคัญยิ่ง เมื่อร่างกายได้รับอาหารที่ดี สุขภาพก็จะแข็งแรง สติปัญญาดี ผลการเรียนก็ย่อมดีตามมาด้วย” คุณอรุษ ให้เหตุผลที่ต้องปลุกเยาวชนให้ตื่นรู้ และรู้จักเลือกอาหารปลอดภัยให้กับตัวเอง

ด้าน อาจารย์เกษมสันต์ มีจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านดงเกตุ หนึ่งในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ บอกว่า โรงเรียนให้ความสำคัญกับสุขภาพเด็กอยู่แล้ว โดยดำเนินกิจกรรมตามปรัชญาหลักทฤษฎีเกษตรพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ปลูกผักไว้กินเอง แต่พอโครงการนี้เข้ามา มันช่วยเติมเต็มในเรื่องของการทำเกษตรอินทรีย์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเห็นด้วยอย่างยิ่งที่มูลนิธิให้ความสำคัญเรื่องอาหารปลอดภัย เพราะการที่เด็กๆ ได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง ทำให้เขาได้ซึมซับวิธีการผลิตอาหารอินทรีย์ตั้งแต่วัยเยาว์ และที่สำคัญนอกจากช่วยโรงเรียนประหยัดงบประมาณในการซื้ออาหารกลางวันได้อีกส่วนแล้ว เด็กยังได้กินอาหารที่ปลอดสารเคมี อย่างน้อย 1 มื้อ ต่อวัน

“เด็กที่นี่ส่วนใหญ่พ่อแม่มีอาชีพรับจ้าง ฐานะค่อนข้างยากจน และกว่า 40% เป็นเด็กนอกพื้นที่ ส่วนหนึ่งเป็นเด็กชาวเขา ซึ่งเด็กเหล่านี้โอกาสในการเลือกกินอาหารมีน้อย แม้จะได้รับประทานอาหารกลางวันที่โรงเรียน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย เพราะบางช่วงที่ไม่มีผลผลิต เราต้องสั่งซื้อวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารมาจากตลาด โอกาสเสี่ยงต่อสารเคมีปนเปื้อนสูงมาก หากเด็กได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายสะสมเป็นเวลานานๆ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บมากกว่าเด็กทั่วๆ ไป เราจึงต้องสร้างเกราะคุ้มกันให้พวกเขา ฝึกสุขนิสัยการกินตั้งแต่วัยเยาว์ เพื่ออนาคตพวกเขาจะได้เติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา”

การทำเกษตรอินทรีย์นั้น ใครๆ ก็ทำได้ แต่จะทำให้ประสบผลสำเร็จ ได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ ต้องอาศัยองค์ความรู้ที่หลากหลาย มาปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ และชนิดของพืชผักที่ปลูก

อาจารย์เกษมสันต์ บอกว่า ทางโรงเรียนไม่มีความรู้ในเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ รู้เพียงแต่ไม่ใช้สารเคมี ซึ่งจริงๆ แล้ว ทุกขั้นตอนต้องสัมพันธ์กัน ทั้งเรื่องน้ำ ดิน ปุ๋ย การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยวผลผลิต จึงส่งเจ้าหน้าที่ไปอบรบหลักสูตรการทำเกษตรอินทรีย์กับโครงการ ได้ความรู้กลับมาถ่ายทอดให้กับเด็กๆ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ สอนให้ทำปุ๋ยหมัก ทำสารสกัดไล่แมลงสูตรต่างๆ เด็กๆ เริ่มสนุกกับการเรียนรู้ในห้องเรียนธรรมชาติที่ได้ลงมือทำจริงด้วยตัวเอง เพราะบางคนไม่เคยจับจอบ จับเสียม เลย

“ยิ่งช่วงเวลาที่ผักกำลังเติบโตงอกงาม ทั้ง ผักบุ้ง คะน้า กวางตุ้ง และผักอื่นๆ มองดูเขียวขจีเต็มแปลง เด็กๆ เขาจะภูมิใจและเฝ้ารอวันเก็บเกี่ยว เพื่ออวดผลงานของตัวเอง ยิ่งมื้อที่ได้รับประทานเมนูอาหารที่ปลูกเอง เด็กจะเกิดความภูมิใจ และเห็นคุณค่าของอาหาร เพราะกว่าผักชุดหนึ่งจะออกมา เขาต้องใช้เวลา ต้องดูแลประคบประหงม นาน 2-3 เดือน ขณะเดียวกันเด็กได้เรียนรู้ทักษะการทำงาน และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์” อาจารย์เกษมสันต์ กล่าว

เสียงใสๆ สะท้อนจากใจเกษตรกรตัวน้อยๆ อย่าง เด็กชายภารดร แซ่โง้ว น้องนัท เด็กนักเรียน ชั้น ป.6 บอกว่า ที่บ้านไม่มีพื้นที่ ไม่เคยทำเกษตรมาก่อน แต่พอได้ทำรู้สึกชอบ และสนุกกับมัน เพราะได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ได้ผลผลิตมานำเข้าห้องครัวของโรงเรียน ปรุงอาหารให้กับเพื่อนนักเรียนได้กินกัน รู้สึกมีความสุขที่เห็นอาหารที่ไม่มีสารพิษ และกิจกรรมนี้มีประโยชน์มาก เราเคยแต่ซื้อผักกิน พอมาทำเองทำให้เรารู้ขั้นตอนการผลิตอาหาร รู้ว่ากว่าเกษตรกรได้ผักมาขายให้เรา เขาต้องใช้เวลาดูแลนานพอสมควรและต้องมีความอดทน ถ้าเลือกได้ หนูอยากเลือกอาหารที่ปลอดภัยให้กับตัวเอง

ช่วงเวลาหลังเลิกเรียน 1 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น ทุกๆ วัน เด็กหญิงเกศินี ตั้งธรรมกร น้องก้อย นักเรียน ชั้น ป.5 จะต้องไปที่แปลงเพื่อเฝ้าดูการเจริญเติบโตของผักที่เขาปลูกไว้ คอยรดน้ำ พรวนดิน ถอนหญ้า เขาบอกว่า มีความสุขกับการได้ทำสิ่งนี้ เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เด็กๆ ควรจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะพ่อแม่ต้องทำงาน เราต้องกินอาหารทุกวัน ถ้าเราไม่รู้จักเลือกหรือไม่รู้การผลิตอาหารด้วยตัวเอง จะทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ ได้ง่าย ส่งผลเสียต่อการเรียน และความรู้เหล่านี้เราสามารถนำไปทำได้เองที่บ้าน ปลูกผักสวนครัวในกระถางไว้กินเอง ไม่ต้องซื้อที่ตลาด เสี่ยงต่อสารเคมี

ดัชนีบ่งชี้ความสุข ความแข็งแรงของร่างกาย ไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลังกายเท่านั้น หากแต่การได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์และปลอดภัยจากสารเคมีก็มีส่วนสำคัญยิ่ง แม้เกษตรกรตัวน้อยๆ เหล่านี้ยังเล็กนัก แต่อย่างน้อยวันนี้พวกเขาก็ได้ซึบซับในสิ่งที่ครูได้บ่มเพาะเกี่ยวกับการผลิตห่วงโซ่อาหารแบบไม่พึ่งพาสารเคมี ทั้งปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ทำให้เขาเกิดจิตสำนึก และเห็นคุณค่ารู้จักเลือกอาหารปลอดภัยให้กับตัวเอง

Leave a comment