ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05024150159&srcday=2016-01-15&search=no
| วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 615 |
พฤกษากับเสียงเพลง
มานพ อำรุง
พฤกษาเฉพาะถิ่นที่ เป็นราชินี…แห่งสายน้ำ
โอ อัว โอ๊ย แล้วกันโอ๊ย โอ๊ย…โอย โอ…ละหน่าย
น้องอ้อนแอ้น แม้นมิ่งสวรรค์ สาละวันตาคม สง่าสม แท้น้อ…น้อ…ละหน่าย
เตี้ยลง สาละวันเตี้ยลง เตี้ยลง…สาละวันเตี้ยลง เตี้ยลงหน่อยสาละวันเอ๊ย เตี้ยลงแล้ว ฟังพี่ซิเดี่ยวเพลง
พลับพลึงกำลังช่อใหม่ ปลูกเอาไว้อยู่ในแดนดง รูปหล่อเขาออกมาโค้ง รำวง รำวง สาละวัน
สาละวันลุกขึ้น ลุกขึ้น ลุกขึ้นสาละวัน ลุกขึ้นหน่อย สาละวันเอ๋ย…ลุกขึ้นแล้ว อ้ายขอเว้าสาว ถามบ้านเจ้านั้นอยู่ที่ใด๋…ฯลฯ
บทเพลงรำวงชมสาว แต่กล่าวถึง พลับพลึง บ้านป่าที่งามปานแต้ม สองพวงแก้วสีชมพู ขับร้องโดย ไวพจน์ เพชรสุพรรณ ไม่ทราบว่าเรียกหาพลับพลึงบนดิน หรือพลับพลึงในสายน้ำ เพราะยังไม่รู้ว่า บ้านสาวเจ้าอยู่ที่ไหน ลูกสาวผู้ใด ได้เห็นเพียงความงามจากพวงแก้ม ก็ขอฝากรักแล้ว
พลับพลึง ที่กล่าวถึงกันโดยทั่วไป ส่วนใหญ่จะกล่าวถึง พลับพลึงที่ปลูกอยู่บนแปลงดิน หรือในกระถางทั่วไป รอบรั้ว รอบบ้าน หรือประดับศาลาไทย
เคยได้อ่านบทกลอนที่กล่าวถึง ต้น ใบ ดอกพลับพลึง ในอุทยานดอกไม้ โดย “เมย์วิสาข์” สรุปความรู้สึกว่า “จิตประหวั่นแต่ไม่พรั่นพรึง เมื่อเจอพลับพลึง” และกล่าวไว้ในบทกลอน ว่า
ประหวั่นจิตให้คิดถึงพลับพลึงสวย
อวบอิ่มด้วยกาบอ่อนร่วม รวมกอใหญ่
ดอกขาวแดง ก้านช่อยาว เคล้าซอกใบ
ทัดดอกไว้ กลีบหกริ้ว ดั่งนิ้วมือ
ลองค้นหารูปพลับพลึง พบเห็นดังที่บทกลอนพรรณนาไว้ เพียงแต่เป็นพลับพลึงที่ปลูกไว้บนแปลงดิน สำหรับที่ปลูกในกระถาง ที่พ่อค้า แม่ค้า ตามแหล่งขายต้นไม้นำมาวางให้เลือก ส่วนใหญ่เป็นกอใหญ่ ปลายใบโค้งคลุมไม่เห็นปากกระถาง รัศมีปลายใบครอบคลุมเนื้อที่ไปยังกระถางอื่นๆ ได้ สอบถามว่า ทำไมไม่ค่อยมีมามากๆ ให้เลือก คำตอบคือ ราคาต้นละไม่กี่บาท แต่เปลืองเนื้อที่ อยากได้สีอะไร สั่งได้
พลับพลึง มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ลิลัว ไม้หัว ดอกสีขาว หรือบางชนิดมีสีม่วงแดง มีช่อดอกขนาดใหญ่ ออกเป็นกระจุกที่ปลายช่อ หรือเรียกปลายกิ่ง มีดอกย่อยจำนวนมาก อาจจะมีตั้งแต่ 10-30 ดอก ก้านช่อดอกอวบใหญ่ กลีบดอกตอนโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ยาว 7-10 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 6 กลีบ เป็นริ้วๆ กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร แต่ยาวได้ถึง 6-8 เซนติเมตร ดอกทยอยบาน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ พลับพลึงดอกสีแดง จะมีช่อดอกและดอกใหญ่กว่าพลับพลึงสีขาว
ชนิดพันธุ์ของพลับพลึง จะมีทั้งพลับพลึงด่าง พลับพลึงแดง พลับพลึงสีทอง แต่ส่วนใหญ่ที่พบเห็นมักจะเป็นสีขาว เป็นไม้หัว พืชล้มลุกที่มีอายุอยู่ได้หลายฤดู มีลำต้นใต้ดิน ส่วนที่อยู่เหนือดิน ประกอบด้วย กาบใบสีขาวหุ้มซ้อนกันเป็นชั้นๆ ส่วนของใบอวบน้ำ เป็นใบเดี่ยวรูปหอก กว้างมากที่สุดได้ถึง 15 เซนติเมตร และส่วนใบที่ยาวได้มากกว่า 1 เมตร หรือยาวได้ถึง 120 เซนติเมตร มีเมล็ดกลมเล็กๆ สีน้ำตาล แล้วมีผลเมื่อแห้งจะเป็นสีดำ แต่ขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ ได้ต้นใหม่ที่งอกเร็วและตายยาก
หัว หรือต้นพลับพลึงใต้ดิน หากมีสัตว์เลี้ยงขุดคุ้ยกันกินอาจจะเป็นอันตรายได้ โดยมีอาการเซื่องซึม ชัก หรือบางชนิดอาจถึงตาย สำหรับอันตรายที่มีต่อคน ทำให้ระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหาร คลื่นไส้ ท้องเสีย เนื่องจากมีสารในกลุ่มอัลคาลอยด์ เป็นสารออกฤทธิ์ และหัวสดจะมีพิษมากกว่าหัวแห้ง
พลับพลึง พืชปลูกง่าย ชอบขึ้นในดินที่ชื้น หรือทนดินแฉะได้ดี แต่ก็ทนทาน ไม่ต้องดูแลบำรุงรักษามากนัก และเหมาะกับสภาวะดินฟ้าอากาศในเมืองไทยได้เหมาะ ประโยชน์และคุณสมบัติจากใบพลับพลึงมีมาก ในความรู้ภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือหมอพื้นบ้าน นิยมนำใบพลับพลึงมาลนไฟให้ตายนึ่ง แล้วพันรอบอวัยวะที่เคล็ด ขัดยอก หรือบวมได้ ในพื้นที่บางท้องถิ่นใช้ใบลนไฟถอนพิษ และใช้ใบลนไฟรักษาโรคไส้เลื่อน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ รวมทั้งใช้ประคบหน้าท้องคุณแม่ที่เพิ่งคลอดได้ สำหรับกาบใบที่อวบ หนา และยาว นั้น นำมาทำกระทงใส่ธูป เทียน ลอยกระทงแทนใบตองได้ และสามารถนำไปแกะสลักตกแต่งในงานพิธีต่างๆ ด้วย
ก็ถือว่าไม้ดอกใหญ่ ก้านช่อยาว เป็นที่นิยมนำมาใช้เป็นไม้ประดับได้ทั้งต้น หรือแยกส่วนดอก ใบ ไปเป็นชิ้นส่วนร่วมประดับช่อแจกันได้ด้วย ความงามสดได้นาน หากมีพื้นที่ให้พลับพลึงกางใบได้กว้าง ก็จะตะลึงได้แน่นอน
ยังมีพลับพลึงอีกเทือกเถาเหล่ากออีกสายพันธุ์หนึ่ง แม้ไม่เป็นที่รู้จักกันกว้างขวาง แต่เป็นที่หวงแหนกันในระดับโลก ที่จะต้องร่วมมือกันอนุรักษ์ให้คงอยู่คู่ท้องถิ่น ให้สมกับคำว่า “ราชินีแห่งสายน้ำ” ก็คือ “พลับพลึงธาร” พรรณไม้น้ำไทย หนึ่งเดียวในโลก
พลับพลึงธาร เป็นพรรณไม้น้ำชนิดที่ตลาดต่างประเทศมีความต้องการ แต่ยังไม่มีการเพาะขยายพันธุ์ในระดับฟาร์ม เนื่องจากผลผลิตที่ชาวต่างประเทศได้รับหรือรู้จักนั้น ได้จากการเก็บรวบรวมจากธรรมชาติ ดังนั้น สถานการณ์ปัจจุบันของพลับพลึงธาร จึงไม่ใช่มีผลผลิตมากมายในระดับที่จะส่งออกเป็นอุตสาหกรรม จะมีเพียงที่จะต้องรณรงค์ให้ร่วมอนุรักษ์ ปลูกเพิ่ม ขยายพื้นที่ สงวนแหล่งน้ำให้พลับพลึงธารที่มีอยู่ให้คงอยู่เพื่อลูกหลานในอนาคตได้รู้จัก รู้เห็น ต่อไป
กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เผยแพร่ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของพลับพลึงธาร เพื่อให้เป็นที่รู้จักและเข้าใจในธรรมชาติความเป็นอยู่ของพรรณไม้น้ำหายากนี้ พร้อมภาพพื้นที่ท้องถิ่นแหล่งอาศัยในสายน้ำ สายธาร ที่จะส่งเสริม รณรงค์ อนุรักษ์ผ่านชมชม และจิตสำนึกของบุคคลในท้องถิ่นที่หวงแหนทรัพยากรดั้งเดิม ที่นับวันกำลังใกล้จะสูญพันธุ์
สถาบันวิจัยสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ สำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง ได้ให้ความรู้พื้นฐานเผยแพร่เพื่อให้พลับพลึงธารเป็นที่รู้จักแก่ประชาชนทั่วไป จัดป้ายนิทรรศการในกิจกรรมเกี่ยวข้อง ทั้งในสื่อออนไลน์ และกิจกรรมการเกษตร เช่น ในงานวันเกษตรแห่งชาติ ว่า พลับพลึงธาร หรือมีเรียกอีกชื่อ หอมน้ำ Crinum thaianum Schulze มีชื่อสามัญว่า Onion plant จัดเป็นพืชมีดอก ในวงศ์พลับพลึง (Amary llidaceae) เป็นพรรณไม้น้ำประเภทครึ่งบกครึ่งน้ำ เจริญเติบโตในลำธาร และคลองสายสั้นๆ ที่มีสภาพน้ำใส และเป็นแหล่งน้ำไหล จัดเป็นพืชถิ่นเดียว (endemic specie) ที่พบเฉพาะทางภาคใต้ ในแหล่งน้ำของจังหวัดระนอง และพังงา ของประเทศไทยเพียงเท่านั้น ลักษณะเด่นของหอมน้ำ คือ ลำต้นอยู่ใต้ดิน มีใบเกล็ด ทำหน้าที่หุ้มห่อ ป้องกันตาและใบอ่อน ซ้อนกันจนมีลักษณะเป็นหัว รากเป็นระบบรากฝอย ใบเดี่ยวของต้นพลับพลึงธาร มีลักษณะเป็นแถบยาวคล้ายริบบิ้น ช่อดอกมีลักษณะเป็นซี่ร่ม มีจำนวนดอกย่อย 4-14 ดอก จะเกิดดอกจำนวนมากในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม ดอกของพลับพลึงธารจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ส่วนผลมีสีแดง จัดเป็นประเภทที่มีหลายเมล็ด เมล็ดมีสีเขียว ผิวไม่เรียบ ลักษณะบิดเบี้ยวและเป็นเหลี่ยม
ปัจจุบัน การพัฒนาอาชีพ การเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศธรรมชาติ ทำให้พลับพลึงธารในแหล่งน้ำธรรมชาติมีจำนวนลดลงจำนวนมาก การพัฒนาแหล่งน้ำโดยการขุดลอกคลอง และการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์จากที่ดิน ยังทำให้เกิดการชะล้างและพังทลาย ทำให้สภาพน้ำที่เคยใส ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่เดิมเปลี่ยนสภาพเป็นตะกอนโคลนตม เป็นสาเหตุให้พลับพลึงธารมีจำนวนลดลง ใกล้จะสูญพันธุ์ไปจากแหล่งเจริญเติบโตในธรรมชาติ ปัจจุบัน องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ได้จัดจำแนกให้สถานภาพของพลับพลึงธารอยู่ในบัญชีพืช Red data plant ซึ่งหมายถึง พืชที่หาได้ยาก และจัดเป็นพืชที่ใกล้สูญพันธุ์ (Endangered plant)
สถาบันวิจัยสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยชีววิทยา และการเพาะขยายพันธุ์โดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ และการผ่าแบ่งหัวพลับพลึงธารรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เกิดหัวย่อย แล้วนำต้นอ่อนที่ได้ออกปลูกเลี้ยงในโรงเรือนเพาะชำ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และสามารถนำไปปลูกคืนถิ่นในธรรมชาติได้ โดยการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2553 ได้รับอนุมัติจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำเนินการฝึกอบรมโครงการอนุรักษ์พรรณไม้น้ำพลับพลึงธาร เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน บริเวณพื้นที่คลองนาคา อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง ภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในการเพาะขยายพันธุ์ และการอนุรักษ์พรรณไม้น้ำ ทำให้เยาวชน ประชาชน และชุมชนเข้าใจถึงสภาพนิเวศวิทยาบริเวณแหล่งเจริญเติบโต วิธีการเพิ่มผลผลิตและการใช้ประโยชน์ ตลอดจนสร้างจิตสำนึกในการหวงแหนทรัพยากร เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของทรัพยากร และในอนาคตสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้เพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติไม้น้ำพลับพลึงธารภายในชุมชนได้อย่างเหมาะสม
พลับพลึงธาร “ราชินีแห่งสายน้ำ” พืชน้ำที่มีความเป็นมาเทือกเถาเหล่ากอจากธรรมชาติ เป็นพฤกษาชี้วัดจัดระดับคุณภาพน้ำได้ จะมีเหลือไว้ให้ชื่นชมเท่าใด หรือจะขยายพันธุ์รุกล้ำยึดครองสายน้ำลำธารได้เพียงใด ไม่มีใครสามารถกำหนดได้ชัดเจน แต่ด้วยจิตสำนึกของชุมชนในการจัดกิจกรรม ให้เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาทรัพยากรท้องถิ่นชุมชนของตัวเองนั้น เป็นส่วนที่น่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ดังที่มีกิจกรรมร่วมกันปลูกพลับพลึงธาร พืชประจำท้องถิ่น ที่คลองบางปรุ อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง ในลำคลองธรรมชาติ และเรียนรู้วิธีการอนุรักษ์ รักษาพลับพลึงธาร แล้วกลายเป็นทั้งแหล่งที่อยู่ และอนุบาลสัตว์น้ำไปพร้อมกันด้วย
ปัจจุบัน พลับพลึงธารในคลองบางปรุ มีให้พบเห็นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากมีการขุดลอกคลอง รวมทั้งการถอนทำลายพลับพลึงธารอย่างผิดวิธี ดังนั้น การจัดกิจกรรมปลูกลงสู่คลองบางปรุ จึงเป็นกุศโลบายที่จะฟื้นฟูทรัพยากรที่มีคนในชุมชนใช้ในการรักษา และดูแลธรรมชาติในท้องถิ่นของตนเอง โดยมีจุดมุ่งหวังว่า จะเป็นการสร้างจิตสำนึกให้คนรุ่นใหม่ร่วมสานฝันต่อไปว่า วันข้างหน้าพวกเขาจะช่วยดูแลความงดงามแห่งนี้ให้คงอยู่ชุมชนต่อไป
ระนอง เมือง “ฝนแปดแดดสี่” ไม่มีผลที่จะทำให้ถูกเรียกว่าเป็นฆาตกรสำหรับพลับพลึงธาร ลมหายใจของพลับพลึงธารยังคงต้องมีอยู่ต่อไป เมืองติดชายฝั่งทะเลอันดามัน พลับพลึงธารไม่ชอบน้ำเค็ม แต่ก็มีน้ำป่าไหลมาทำลายตามธรรมชาติไปบ้าง หากมีสถานการณ์อุทกภัยยิ่งใหญ่ แต่มาตรการใกล้ตัวที่หลงใหลความสวยงามจากดอกพลับพลึงธารน่ากลัวยิ่งกว่า เพราะการที่นักท่องเที่ยวล่องเรือ ถ่อแพชมความงามนั้น บางกลุ่มไม่ได้ชื่นชมด้วยสายตาเพียงอย่างเดียว แต่รักมากระดับเก็บเกี่ยว ดึง ถอนไปชื่นชม นั่นแหละคือฆาตกรตัวจริงที่ตัวเองไม่รู้ตัว
“ชมรมเพลินไพรศรีนาคา” รณรงค์ชวนร่วมอนุรักษ์พลับพลึงธาร ดอกไม้พิเศษ หนึ่งเดียวในโลก ราชินีแห่งสายน้ำ แตกกออยู่ใต้น้ำ ส่งใบยาวส่ายพลิ้วสยายไปตามกระแสธาร ราวกับปลายหางนางเงือก ที่จะโบกต้อนรับการกลับมาเป็นราชินีแห่งสายน้ำคงเดิม ดังปณิธานของชาวชมรมเพลินไพรศรีนาคา ที่ร่วมกันเรียกหา วันคืนพลับพลึงธารกลับถิ่น คู่คลองนาคา เป็นราชินีแห่งสายธาร ซึ่งชาวชมรมพร้อมที่จะเป็นองครักษ์พิทักษ์นางงามแห่งธรรมชาติตลอดไป
เพลง พลับพลึงธาร (ราชินีแห่งสายน้ำ)
คำร้อง-ทำนอง โดย ผอ. ประยูร แทนบุญ
Intro ราชินี…ราชินีแห่งสายน้ำ
พลับพลึงธารชูดอกบานในสายน้ำ
กับสายน้ำที่หลั่งไหลใสสะอาด
สีดอกขาวใบเรียวยาว ชมชื่นใจ
มีผู้คนมากมาย ให้นามว่าราชินี
*ราชินี ราชินีแห่งสายน้ำ
ช่างงดงาม งามหนึ่งเดียวในโลก
ถิ่นพังงา คุระบุรีนี่คือโชค
หอมน้ำงามงอกบอกถึงถิ่นอุดมสมบูรณ์
**เราช่วยกันดูแลพลับพลึงธาร
ดอกขาวเปล่งบานในสายธารชูช่อ
ถึงหน้าแล้ง ราชินีงามละออ
ได้ชมละก็ ประทับใจในความงาม
บทเพลงจากความจริงใจ กลั่นความรู้สึก ทั้งอารมณ์รักในธรรมชาติ และเจตนาบริสุทธิ์ ที่อยากจะให้ผู้ได้ยิน จินตนาถึงความงามที่คงคุณค่า สมญา “ราชินี” แม้จะไม่ดังถึงเหล่านักนิยมไพร หรือนักล่องแพทุกสายธารก็ตาม แต่ก็หวังว่า เสียงเพลงบทนี้คงจะล่องทวนกระแสน้ำ มาร่วมมือกับต้นสายแห่งลำธาร เพื่อความใสสะอาด ที่จะให้กลายเป็นฐานบัลลังก์พิทักษ์องค์ราชินีครองมงกุฎ ทั้งคลองบางปรุ และคลองนาคา
หากเข้าไปดูกิจกรรมจากชมรม กิจกรรมจากชาวบ้านบุคคล และนักเรียน นักศึกษา ในชุมชนท้องถิ่นแห่งมงกุฎราชินีนี้ จากสื่อออนไลน์ต่างๆ พบว่า มีการรณรงค์ด้วยความตั้งใจที่จะให้ราชินีสายธารนี้ แผ่ขยายฐานันดรยืนยาวต่อไป