ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05063150159&srcday=2016-01-15&search=no
| วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 615 |
รายงานพิเศษ เกษตรดี…เมืองอุทัยฯ
สุจิต เมืองสุข
100 เดียว อิ่มทั่วสวน บุฟเฟ่ต์ผลไม้ แห่งเดียวในอุทัยฯ
เพิ่งจะไม่กี่ปีหลังนี้เองที่เริ่มได้ยินว่า จังหวัดอุทัยธานี มีสวนสตรอเบอรี่ สวนผลไม้ รีสอร์ตน่ารัก บรรยากาศดี ที่ๆ เป็นที่รู้จักส่วนใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นอำเภอที่อยู่ติดกับจังหวัดกาญจนบุรี และเป็นพื้นที่ที่มีลมมรสุมตะวันตกพัดผ่าน ทำให้สภาพอากาศแตกต่างและสามารถทำการเกษตรได้ผลดีกว่า แต่ถึงวันนี้ก็มีเรื่องให้น่าตื่นเต้นไม่น้อย เมื่อพื้นที่อำเภอลานสัก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่แห้งแล้งมากที่สุดอำเภอหนึ่งของจังหวัด กลับมีสวนผลไม้หลายชนิดปลูกผสมผสาน และได้ผลดีออกสู่ตลาด กระทั่งเปิดเป็นสวนผลไม้บุฟเฟ่ต์ได้อย่างไม่อายใคร
คำว่า บุฟเฟ่ต์ หมายถึงว่า สินค้าหรือของที่ให้ดำเนินการบุฟเฟ่ต์ได้ต้องมีจำนวนมาก เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า นั่นหมายถึง สวนผลไม้จะต้องมีผลไม้ที่หลากหลายและมีจำนวนมากพอสำหรับจัดบุฟเฟ่ต์ได้
คุณธวัช พลฉกรรจ์ ชาวอำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี โดยกำเนิด เกิดและเติบโตมาท่ามกลางความยากจน และสิ่งที่เห็นมาตลอดคือ ภาวะเป็นหนี้ของเกษตรกรทุกครัวเรือน คุณธวัชเองไม่ได้โชคดีในการเรียนเท่าไหร่นัก จบการศึกษาเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังจากนั้น ก็ช่วยพ่อแม่ทำนามาโดยตลอด กระทั่งถึงวัยต้องสร้างครอบครัวของตนเอง จึงแต่งงาน หลังแต่งงานคุณธวัชเปลี่ยนการทำนาเป็นทำไร่ข้าวโพด ระหว่างนั้นคิดหาวิธีการทำการเกษตรโดยไม่เป็นหนี้ ความคิดทำสวนผลไม้ผุดขึ้นมา และความคิดนี้เองที่ทำให้ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงมองว่า คุณธวัชสติไม่ใคร่ดี
“เป็นเพราะชาวบ้านแถบนี้ ทำไร่มันสำปะหลัง ไร่ข้าวโพด และทำนา มาโดยตลอด แทบจะไม่ทำพืชอื่นกันเลย เพราะความแห้งแล้งทำให้การเกษตรที่ทำไม่ได้ผลเท่าที่ควร ชาวบ้านที่นี่ไม่มีใครกล้าลงทุนหรือเปลี่ยนไปทำการเกษตรอย่างอื่น พอผมคิดจะปลูกผลไม้ขึ้นมา ก็กลายเป็นความแตกต่าง”
ถามถึงความมั่นใจ คุณธวัช บอกว่า ที่อื่นปลูกได้ ที่นี่ก็ต้องปลูกได้ เพียงแค่ปรับสภาพดินให้เหมาะสมกับพืชที่ต้องการปลูก ไม้ผลต้องการน้ำก็ขุดบ่อเก็บน้ำไว้ให้น้ำยามแล้ง และคิดง่ายๆ ถึงหลักการเจริญเติบโตของคน ที่กินอาหารวันละ 3 มื้อ ดื่มน้ำบ่อยครั้งเท่าที่ร่างกายต้องการ ก็ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ดี ต้นไม้ก็เช่นเดียวกัน หากได้รับธาตุอาหารตรงกับความต้องการก็จะเจริญเติบโตได้ดีเช่นเดียวกัน และไม้ผลเป็นไม้ยืนต้น หากปลูกให้เจริญเติบโตไปจนให้ผลผลิต ก็จะสามารถเก็บผลผลิตได้ยาวนาน
คุณธวัช เริ่มต้นด้วยการปลูกน้อยหน่า ขนุน ส้มโอ และกระท้อน เมื่อปลูกจนเก็บผลผลิตขายได้ คุณธวัชก็นำไปขายตลาดชุมชนละแวกบ้าน ขายได้แต่ไม่ดี ทำให้คุณธวัชจำเป็นต้องกลับมามองเรื่องการตลาดควบคู่ไปกับการปลูกให้ได้ผลดี เพื่อให้ผลผลิตที่ออกมาสู่ท้องตลาด และมีรายได้กลับมาดูแลสวนผลไม้อย่างเพียงพอ
“ปี 2536 เจ้าหน้าที่จากสำนักงานเกษตรจังหวัด ชวนไปดูการปลูกมะขามหวาน ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ จากนั้นไม่นานก็เดินทางไปดูการปลูกเงาะ ทุเรียน มังคุด ที่จังหวัดจันทบุรี ทุกครั้งที่ไปศึกษาดูงาน ก็ซื้อกิ่งพันธุ์ติดมือกลับมาด้วย ยิ่งทุกครั้งที่นำผลผลิตไปขายยังตลาดชุมชน ชาวบ้านส่วนใหญ่มักถามหา เงาะ ทุเรียน เพราะเป็นผลไม้ตลาดที่ใครๆ ก็ชอบกิน”
แม้ดินจะไม่สมบูรณ์ ความแห้งแล้งมาเยือนเกือบทุกฤดู คุณธวัชจึงมองเรื่องการบำรุงดินให้มีคุณภาพเป็นเรื่องสำคัญพื้นฐานก่อนปลูกไม้ผล
“กล้วย” เป็นพืชชนิดแรกที่ลงปลูกไปทั่วพื้นที่ที่ยังว่าง จากนั้นวางระบบท่อน้ำหยด ลงปลูกเงาะ ทุเรียน มังคุด และมะขามหวาน ปลูกไปได้เพียง 5 เดือน ไม้ผลที่ลงปลูกไปตายเกือบหมด เหลือไม่มาก แต่คุณธวัชก็ไม่ท้อ เพราะไม่ต้องการกลับไปทำนา ทำไร่ เพื่อกลับสู่วัฏจักรเดิมที่ต้องเป็นหนี้เหมือนที่ผ่านมา จึงมุ่งมั่นตั้งใจปลูกเพิ่ม และดูแลอย่างใกล้ชิด ผลที่ได้จึงเป็นสวนผลไม้ผสมผสานอย่างที่เห็น
พื้นที่ทั้งหมด 24 ไร่ คุณธวัช แบ่งเป็นบ่อน้ำสำหรับกักเก็บน้ำ 1 ไร่ มีพื้นที่ชันลาดเอียง คุณธวัช เลือกปลูกมะขามหวาน เพราะเป็นพืชใช้น้ำน้อย ลาดลงมาพื้นราบใกล้มะขามหวาน เลือกปลูกทุเรียน มีทับทิมแซมระหว่างต้นทุเรียน พื้นที่ที่เหลือปลูกเงาะ ทุเรียน มังคุด มะไฟ มะปราง ลองกอง
เทคนิคการดูแลไม้ผลให้ได้ผลดี คุณธวัช บอกว่า เก็บสะสมจากประสบการณ์การไปศึกษาดูงานที่ต่างๆ นำมาปรับใช้ให้เข้ากับพื้นที่ของตน ซึ่งสิ่งที่ทำให้เราสามารถอยู่ได้คือ การปลูกพืชผสมผสาน เพราะเชื่อว่าหากปลูกพืชเชิงเดี่ยว เมื่อประสบปัญหาขาดทุนก็จะย่ำแย่ แต่การปลูกพืชผสมผสานเช่นนี้ไม่มีวันขาดทุน
สวนผลไม้ของคุณธวัช เรียกได้ว่าเป็นสวนผลไม้ปลอดยาฆ่าแมลง หากพบปัญหาแมลงศัตรูพืช ก็ใช้น้ำส้มควันไม้ ซึ่งทำขึ้นเอง ระยะแรกเมื่อเกิดการระบาดน้อยกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ จะปล่อยให้ธรรมชาติจัดการเอง แต่ถ้ามากกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ จึงใช้น้ำส้มควันไม้ฉีดพ่น และนับเป็นความโชคดี พื้นที่ของคุณธวัชมีไก่ป่าเข้ามาอาศัยอยู่หลายร้อยตัว เมื่อถึงตอนเย็นคุณธวัชจะโปรยข้าวให้ ซึ่งไก่ป่าเหล่านี้ เป็นธรรมชาติที่ช่วยกำจัดแมลงศัตรูพืชภายในสวนได้เป็นอย่างดี
เทคนิคหนึ่งในการกำจัดหนอนเจาะลำต้นทุเรียน คุณธวัช ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ในการทำเครื่องมือกำจัดหนอนเจาะลำต้นทุเรียน ลักษณะคล้ายลิ่มแต่ปลายแหลม ใช้เจาะลำต้นทุเรียนเพื่อแซะหาตัวหนอนที่ฝังที่ลำต้นทุเรียนให้เจอ จากนั้นปักที่ตัวหนอน แล้ววางไว้โคนต้นทุเรียน ไก่ป่าจะมากำจัดหนอนเอง ซึ่งทุกเช้าคุณธวัชจะเดินสำรวจลำต้นทุเรียน หากมียางลำต้นไหล ให้สังเกตว่า น่าจะมีหนอนเจาะลำต้นฝังตัวอยู่ ให้ค่อยๆ แซะจากจุดที่มียางลำต้นไหลไปเรื่อยๆ จะเจอตัวหนอนในที่สุด
ในอดีตคุณธวัชเคยทำปุ๋ยคอกจากมูลหมูเอง โดยเลี้ยงหมูเพื่อนำมูลมาทำปุ๋ย แต่มูลหมูส่งกลิ่น ทำให้ต้องเลิกเลี้ยง และซื้อมูลหมูมาหมักเพื่อทำปุ๋ยคอก ซึ่งปุ๋ยคอกจากมูลหมูจะช่วยให้ต้นไม้ในสวนสมบูรณ์
“หลังเก็บผลผลิตแล้วต้องให้ปุ๋ย รอบทรงพุ่มใหญ่ให้มาก รอบทรงพุ่มเล็กให้น้อย เช่น วัดรอบทรงพุ่ม 1.50 เมตร ใส่ปุ๋ยคอก 3 กิโลกรัม หรือทรงพุ่ม 1 เมตร ใส่ปุ๋ยคอก 1 กิโลกรัม ความจริงปุ๋ยคอกสามารถทำขึ้นได้จากมูลสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นต้นทุเรียน ที่ไม่ควรใส่ปุ๋ยมูลขี้ไก่ เพราะมีกรด-ด่าง เยอะ ทำให้เป็นแก๊ส เกิดปัญหารากเน่าตาย สิ่งสำคัญคือ ควรแต่งกิ่ง ตัดกิ่งข้างล่างลำต้นทิ้ง ไม่ให้เป็นภาระของต้น”
คุณธวัช กล่าวว่า ผลผลิตที่เก็บได้ นำออกไปขายยังตลาดชุมชน บอกกับลูกค้าว่า เป็นผลผลิตจากสวนที่ปลูกเอง แรกๆ ลูกค้าไม่เชื่อ เพราะไม่มีใครคิดว่าพื้นที่อำเภอลานสักจะปลูกผลไม้ได้ จึงใช้วิธีตัดกิ่งติดใบไปให้ดู และให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ หากใครต้องการสั่งผลไม้ สามารถโทรศัพท์สั่งล่วงหน้าได้ ต่อมาลูกค้าก็เชื่อและติดใจในรสชาติผลไม้ ซึ่งตนเองคิดว่า รสชาติของผลไม้ดีไม่น้อยหน้าจังหวัดใด
คุณธวัช ทำเช่นนี้ทุกๆ ฤดูกาลเก็บผลผลิต ทำให้เริ่มมีคนรู้จัก ติดต่อเข้ามาขอเข้ามาชมสวน ทั้งขอศึกษาดูงานและขอซื้อผลผลิต เมื่อเริ่มมีคนเข้ามาชมสวนจำนวนมากขึ้น คุณธวัช จึงเปลี่ยนวิธีขายเป็นขายตรงให้กับผู้บริโภค โดยไม่นำใส่รถไปขายที่ตลาดชุมชน หากใครสนใจสามารถเข้าไปเลือกซื้อได้ถึงสวน มีบางส่วนที่แม่ค้าเข้ามาขอซื้อถึงสวน โดยให้ราคาที่ไม่ต่ำจนเกินไป
ถามถึงรายได้ ไม่น้อยหน้าสวนไหนเลยทีเดียว คุณธวัช ยิ้มรับก่อนบอกว่า พื้นที่ 24 ไร่ ปลูกพืชแบบผสมผสานเช่นนี้ สามารถสร้างรายได้ให้เกือบล้านบาทต่อปี แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่มีพื้นที่เช่นนี้แล้วจะสามารถทำรายได้เหมือนกัน สิ่งที่จำเป็นต้องมี คือ ความมุ่งมั่น ความพอเพียง เพราะพื้นที่ 24 ไร่ ของคุณธวัช ไม่เพียงปลูกผลไม้ผสมผสานเท่านั้น แต่ยังเลี้ยงปลาดุก เลี้ยงกบ ทำโรงเรือนเพาะเห็ด ทำน้ำส้มควันไม้ ปลูกพืชผักสวนครัว ไม่ปล่อยให้พื้นที่ว่าง ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายจากการกินอยู่ไม่มาก
หลังจากมีคนเข้ามาขอศึกษาดูงานถึงสวน ทำให้คุณธวัชมีเวลาออกไปขายยังตลาดชุมชนน้อยลง และทุกครั้งที่มีคนเข้ามาชมสวน จะต้องชิมและขอซื้อกลับทุกราย คุณธวัชจึงมีไอเดียทางการตลาด ด้วยการเปิดให้กินผลไม้จนกว่าจะอิ่ม โดยไม่กำหนดระยะเวลา เพียงอิ่มละ 100 บาท ต่อคน เท่านั้น
ตลอดปี คุณธวัช มีรายได้ในทุกเดือน เดือนที่ได้ผลผลิตจะมีรายได้จากลูกค้าที่มาชิมผลไม้บุฟเฟ่ต์ และลูกค้าที่ต้องการซื้อกลับบ้าน ส่วนเดือนที่ไม่มีผลผลิต อยู่ในช่วงบำรุงต้น ตกแต่งกิ่ง จะมีรายได้จากการจำหน่ายกิ่งพันธุ์ และรายได้จากการศึกษาดูงานเป็นกลุ่มของคนในหลายจังหวัด
สนใจศึกษาดูงานการปลูกผลไม้แบบผสมผสานให้ได้ผลดี ในพื้นที่แห้งแล้ง ติดต่อได้ที่ คุณธวัช พลฉกรรจ์ โทรศัพท์ (085) 731-5484 และ ว่าที่ร้อยตรีเจริญ ปิ่นทอง นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเกษตรอำเภอลานสัก โทรศัพท์ (091) 380-1268