ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 15 มิ.ย. 2559 06:01
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/639052

(อัยยวัฒน์-วิชัย-ธรรศพลฐ์)
“วิชัย” ควัก 2 หมื่นล้านซื้อหุ้นแอร์เอเชียตั้งใจลงทุนยาว หวังผลตอบแทนเงินปันผล คาด 7–8 ปีคืนทุน มั่นใจใช้ความเชี่ยวชาญของ 2 ธุรกิจเพิ่มศักยภาพต่อยอดธุรกิจ จับมือรับกรุ๊ป ทัวร์จีนทะลัก ดันยอดขายปี 60 ทะลุแสนล้าน ด้าน “ธรรศพลฐ์” คุย 1+1 ต้องได้มากกว่า 2 ลั่นนั่งบริหารต่อไม่น้อยกว่า 5 ปี “อัยยวัฒน์ ”วางนโยบายทำโปรโมชั่นร่วมเพิ่มยอดขาย ส่งสินค้าปลอดภาษีถึงบนเครื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ พร้อมด้วยนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา และนายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงกรณีที่ครอบครัวศรีวัฒนประภาได้ซื้อหุ้น บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น หรือ AAV (ถือหุ้น 55% ในสายการบินไทยแอร์เอเชีย) จากครอบครัว “แบเลเว็ลด์” 39% โดยได้ประกาศเจตนารมณ์ในการครอบงำกิจการและทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้น AAV ที่เหลือจากผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งหมดในราคาหุ้นละ 4.20 บาท เท่ากับราคาที่ซื้อจากครอบครัว “แบเลเว็ลด์”
โดยนายวิชัยกล่าวถึงเหตุผลในการซื้อหุ้นครั้งนี้ว่า เป็นการลงทุนระยะยาวให้กับครอบครัวเพื่อเป็นสมบัติให้ลูกและมั่นใจว่าจะนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเครือข่ายการค้าของกลุ่มคิง เพาเวอร์ กว่า 20 ปี มาต่อยอด และส่งเสริมกับธุรกิจของไทยแอร์เอเชีย ให้เติบโตได้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกันไทยแอร์เอเชียก็จะช่วยส่งเสริมธุรกิจดิวตี้ฟรีของคิงเพาเวอร์ด้วย จึงทำให้การตัดสินใจครั้งนี้ใช้เวลาไม่นาน ซึ่งตนสนใจธุรกิจสายการบินมานานแล้ว โดยเงินที่ใช้ซื้อหุ้นครั้งนี้ราว 20,000 ล้านบาท ในส่วน 7,945 ล้านบาทที่ซื้อจากครอบครัวแบเลเว็ลด์ 39% จะนำเงินสดที่มีอยู่จ่าย ส่วนเงินที่ใช้ซื้อหุ้นคืนจากรายย่อยกว่า 60% หรือราว 12,000 ล้านบาท ใช้เงินกู้จากธนาคารไทยพาณิชย์ ส่วนจะเป็นเท่าไรขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นที่รายย่อยจะมาเสนอขายให้ ซึ่งตนพร้อมซื้อไว้ทั้งหมด และไม่มีแผนนำหุ้น AAV ออกจากตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ ยังปฏิเสธว่าไม่มีแผนนำธุรกิจดิวตี้ฟรีของคิง เพาเวอร์ เข้าตลาดหุ้น
สำหรับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนครั้งนี้ นอกจากช่วยต่อยอดและเสริมศักยภาพธุรกิจให้เติบโตไปด้วยกันแล้ว ความตั้งใจที่จะลงทุนระยะยาว จึงหวังผลตอบแทนจากเงินปันผลที่จะได้จากกำไรของไทยแอร์เอเชียที่โตขึ้นทุกปี ซึ่งแผนที่ทางนายธรรศพลฐ์ประมาณการมาให้ คาดว่าจะใช้เวลาคืนทุนราว 7-8 ปี และด้วยความมั่นใจในทีมบริหารของไทยแอร์เอเชียที่มีอยู่ปัจจุบัน การเข้ามาถือหุ้นใหญ่ครั้งนี้จะไม่เปลี่ยนทีมผู้บริหาร โดยตนได้ส่งกรรมการเข้าไปนั่งในบอร์ดเพียง 3 คนเท่านั้น โดยผลดำเนินงานไทยแอร์เอเชียโตต่อเนื่องปีละกว่า 20% เช่นเดียวกับคิง เพาเวอร์ ที่ยอดขายแต่ละปีโต 20% เช่นกัน “เศรษฐกิจทั่วไปชะลอตัว แต่การท่องเที่ยวซึ่งเป็นหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังโตได้ดี เป็นปัจจัยบวกต่อทั้ง 2 ธุรกิจ ขณะที่แอร์เอเชียก็มีส่วนนำนักท่องเที่ยวเข้ามา โดยปี 58 ไทยแอร์เอเชียขนส่งคนถึง 17 ล้านคน จากนักท่องเที่ยวที่มาไทย 30 ล้านคน”
นายวิชัยยังกล่าวต่อว่า ปัจจุบันยอดขายของคิง เพาเวอร์ 80% มาจากนักท่องเที่ยวจีน ที่เหลือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆและคนไทย โดยคนจีนที่เข้ามาเมืองไทย มาเป็นลูกค้าเรา 60-70% ซึ่งปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวจีนมา 10 ล้านคน คาดว่าปีนี้จะเพิ่มเป็น 12-13 ล้านคนและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยขณะนี้พบว่ามีคนจีนในหลายมณฑลที่อยากมาเที่ยวไทยแต่ไม่มีไฟลท์บินมา ทั้งสายการบินพาณิชย์และเช่าเหมาลำ ซึ่งในอนาคตแอร์เอเชียอาจขยายหรือเปิดเส้นทางบิน จากมณฑลเหล่านี้มาลงที่สนามบินอู่ตะเภาหรือสนามบินอื่นที่ไม่ต้องมาแวะกรุงเทพฯ ซึ่งขณะนี้ทางการกำลังพัฒนาอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินพาณิชย์

นายวิชัยกล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจดิวตี้ฟรีปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 85,000 ล้านบาท และปี 60 คาดว่ายอดขายจะแตะ 100,000 ล้านบาท โดยปีนี้จะลงทุน 5,000 ล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่และปรับโฉมคิง เพาเวอร์ รางน้ำ เพื่อรองรับ นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาจำนวนมาก โดยจะปิดปรับปรุง 6 เดือน และให้นักท่องเที่ยวไปใช้สาขาที่คิง เพาเวอร์ศรีวารีแทน จากนั้นจะปรับปรุงขยายพื้นที่คิง เพาเวอร์ ที่ศรีวารีโดยเปิดเฟส 2 หลังจากนั้น จะให้กรุ๊ปทัวร์จีนทั้งหมดไปลงที่ศรีวารี ส่วนรางน้ำจะรองรับลูกค้าคนไทย ญี่ปุ่น และนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีแผนทำดิวตี้ฟรีในเมืองท่องเที่ยวเพิ่มอีกหลายแห่ง รวมทั้งกำลังเจรจาทำร้านค้าดิวตี้ฟรีที่สนามบินหลักๆในพม่า
ด้านนายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า สาเหตุที่ตัดสินใจขายหุ้น AAV จนเหลือเพียง 5% เนื่องจากต้องการพันธมิตรร่วมทุนที่มีศักยภาพ มั่นใจว่าการเข้ามาร่วมทุนของกลุ่มคิง เพาเวอร์ จะทำให้โครงสร้างการบริหารในไทยแอร์เอเชียมีความเข้มแข็งและโตได้ต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 15-20% ประกอบกับคิง เพาเวอร์ มีจุดแข็งในการทำตลาดในจีนที่ครอบคลุมเกือบทั่วประเทศ และปัจจุบันไทยแอร์เอเชียมีแผนทำเส้นทางบินเพิ่มขึ้นทั้งในอินเดีย และกลุ่ม CLMV ซึ่งประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม หากมีคิง เพาเวอร์ เข้ามาร่วมจะเพิ่มขีดความสามารถการทำตลาด เส้นทางบินที่ครอบคลุมหลากหลายเส้นทางมากขึ้น โดยเฉพาะในจีน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมาก ทั้งนี้ สัปดาห์หน้าจะหารือแผนการทำธุรกิจร่วม กับคิง เพาเวอร์
ส่วนราคาขายที่ 4.20 บาทนั้นก็เหมาะสมแล้ว แม้ต่ำกว่าราคาตลาดและต่ำกว่าราคาตามมูลค่า ทางบัญชี (บุ๊คแวลลู) เพราะการขายครั้งนี้เป็นการขายบิ๊กลอต ซึ่งราคาขายได้สะท้อนข้อจำกัดของธุรกิจสายการบิน ที่กำหนดให้การถือครองหุ้นต้องเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น และต้องถือรวมกันไม่น้อยกว่า 51% อีกทั้งเมื่อเข้ามาลงทุนต้องติดล็อกห้ามขายหุ้น (Silent Period) อีก 1 ปี ดังนั้น เมื่อพูดคุยกันแล้วจึงเป็นราคาที่พึงพอใจทั้ง 2 ฝ่าย
“อยากให้ผู้ถือหุ้นเชื่อมั่น เพราะถ้าขายหุ้นให้คนโนเนมมีเงินอย่างเดียว คงเป็นการเอาเปรียบบริษัท แต่ผู้ซื้อคือผู้ที่สามารถต่อยอดธุรกิจได้ ทำให้คำตอบของ 1+1 ได้มากกว่า 2 แต่ต้องได้ 4 หรือ 5 ยอมรับว่าก่อนที่จะสรุปที่คิง เพาเวอร์นั้น มีหลายรายสนใจซื้อแต่ติดเงื่อนไขที่ซื้อแล้วไม่สามารถขายต่อได้ และต้องเป็นบุคคลธรรมดาจึงทำให้การเจรจาไม่สำเร็จ ยอมรับว่าได้เจรจากับคิง เพาเวอร์ มานานแต่เพิ่งจะได้ข้อสรุปเรื่องราคาเมื่อวันอาทิตย์ โดยราคาที่ 4.20 บาท ต่ำกว่าราคาตลาดที่ 6 บาท เพราะเป็นการลงทุนระยะยาว และหากพิจารณาให้ดีไทยแอร์เอเชียดำเนินการมา 13 ปี ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด เพิ่งประสบความสำเร็จช่วง 5 ปีหลังนี้ โดยตนนั้นจะยังคงทำหน้าที่บริหารต่ออีกอย่างน้อย 5 ปี หลังจากนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและดุลพินิจของผู้ถือหุ้นปัจจุบัน”
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ กล่าวว่า มั่นใจว่าจะทำงานร่วมกับผู้บริหารเดิมของไทยแอร์เอเชียได้ดี เพราะธุรกิจสินค้าปลอดภาษี โรงแรมและสายการบิน สามารถทำธุรกิจร่วมกันได้ เนื่องจากมีลูกค้ากลุ่มเดียวกัน ดังนั้น นโยบายที่จะทำต่อหลังจากนี้คือเน้นทำโปรโมชั่นแบบวันสตอป เซอร์วิส และขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมและได้รับความสะดวกสบายทั้งการใช้บริการสายการบินและสินค้าปลอดภาษี โดยเฉพาะการส่งสินค้าให้ผู้โดยสารขึ้นไปรับบนเครื่องบิน มั่นใจว่าจะทำให้ทั้งสายการบินและธุรกิจสินค้าปลอดภาษีมีรายได้มากขึ้น.