เปิดลงทะเบียนช่วยคนจน15ก.ค. “บิ๊กตู่” สั่งคุมบริการสาธารณะ “เข้มรถ-เรือโดยสาร”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 15 มิ.ย. 2559 05:45

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/639047

 

“นายกฯ” สั่ง “รองวิษณุ” ร่างคำสั่งพิเศษให้มีการตรวจสอบประเมินสมรรถนะบุคคลนอกมาตรฐานอาชีพ เน้นอาชีพที่ให้บริการสาธารณะ เช่น ขับรถ–เรือโดยสาร ผู้ควบคุมเครื่องเล่น เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ขณะที่ ครม.เห็นชอบ เปิดให้คนจนรายได้ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อปีมาลงทะเบียนที่ธนาคารของรัฐได้แก่ ธ.ก.ส. ออมสิน และกรุงไทย 15 ก.ค.–15 ส.ค.นี้ เพื่อรัฐจะได้กำหนดนโยบายช่วยเหลือได้ตรงจุด

พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอการสนับสนุนค่าใช้จ่ายการประเมินบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ ให้กับผู้ที่เข้าประเมินสมรรถนะภายใต้โครงการสร้างโอกาสในการพัฒนาสมรรถนะของผู้ประกอบอาชีพ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้มติครั้งนี้ครอบคลุมไปถึงผู้ขับขี่ยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขับรถโดยสาร พนักงานขับเรือ ผู้ควบคุมเครื่องเล่นด้วย โดยให้สมควรตรวจสอบประเมินสมรรถนะด้วยเช่นกัน และมอบให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ไปร่างคำสั่งพิเศษว่า ควรให้มีมาตรการกำกับสมรรถนะ ของอาชีพนอกระบบใดบ้างที่เป็นผู้ให้บริการ เพราะต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยว เพื่อช่วยลดเหตุการณ์ความสูญเสียและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยในอนาคต

ขณะที่ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของการจัดสวัสดิการสังคมและการให้เงินช่วยเหลือของภาครัฐ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจนในสังคมไทยได้ตรงกลุ่ม ตรงคน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยคุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงทะเบียนรัฐสวัสดิการ ได้แก่ ผู้ว่างงานหรือมีรายได้ทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นในแต่ละปีปฏิทินไม่เกินปีละ 100,000 บาท และการลงทะเบียนนี้เป็นรูปแบบสมัครใจ สามารถจะมาหรือไม่มาลงทะเบียนก็ได้ เพราะผู้ที่สมัครใจเข้ามาลงทะเบียนจะต้องเปิดเผยรายได้ การถือครองทรัพย์สินของตน เจ้าหนี้และจำนวนหนี้สิน เป็นต้น และจะต้องเป็นผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสัญชาติไทย

ทั้งนี้ การลงทะเบียนสามารถทำได้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคาร ออมสิน และธนาคารกรุงไทย ระหว่างวันที่ 15 ก.ค.-15 ส.ค.2559 ส่วนผู้ที่ไม่ได้มาลงทะเบียนในปีแรกและ เปลี่ยนใจมาลงทะเบียนในปีต่อๆไป ให้ลงทะเบียนได้ระหว่างวันที่ 1-30 ก.ย.ของทุกปี โดยเมื่อสถาบันการเงินได้จัดเก็บเอกสารแล้วจะส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ไปยังกรมสรรพากร เพื่อจัดเก็บข้อมูลและทำการตรวจสอบความถูกต้อง ซึ่งตรงจุดนี้ไม่ต้องกลัวว่าการส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรแล้วจะถูกเรียกเก็บภาษี เพราะรายได้น้อยอยู่แล้วจะไม่ถูกเก็บภาษี ขณะที่กรม สรรพากรจะเชื่อมข้อมูลไปยังฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อประมวลข้อมูลผู้มีรายได้น้อย นำไปบูรณาการข้อมูลสวัสดิการสังคมแล้วนำไปใช้ในการจัดสวัสดิการสังคมภายใต้โครงการ อี-เพย์เมนต์ ภาครัฐในระยะต่อไป

“เมื่อมีการลงทะเบียนเกิดขึ้น จะช่วยให้รัฐบาลมีฐานข้อมูลของผู้มีรายได้น้อย และสามารถกำหนดนโยบายช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม จากที่ผ่านมาภาครัฐใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อสนับสนุนสวัสดิการสังคมช่วยเหลือประชาชน แต่ไม่สามารถกำหนดเงินช่วยเหลือได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการกำหนดนโยบายกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง และขาดข้อมูลผู้มีรายได้น้อยเป็นรายบุคคลที่บูรณาการข้ามหน่วยงาน เช่น ที่เคยวิจารณ์กันว่าโครงการรถเมล์ฟรีไม่ตรงตามเป้าหมายเพราะใครก็ขึ้นได้ เป็นต้น”

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า การดำเนินการเรื่องนี้เป็นผลมาจากการประชุม ครม.ถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 มี.ค.2558 ที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการว่าให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดจัดทำฐานข้อมูลของประชาชนแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย เพื่อนำมากำหนดแนวทางดูแลความเป็นอยู่และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนราษฎรให้แล้วเสร็จใน 3 เดือน

ต่อมา ครม.วันที่ 22 ธ.ค. 2558 เห็นชอบในหลักการของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ และ ครม.วันที่ 15 มี.ค. 2559 เห็นชอบในหลักการให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการตามแนวทางบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ.

 

Leave a comment