ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 16 มิ.ย. 2559 16:05
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/640135

กสิกรจับตาอังกฤษจะอยู่หรือไปจากอียู ชี้หากออก และเรียกเชื่อมั่นเศรษฐกิจได้จะส่งผลกระทบกับทั่วโลกไม่มาก แต่หากไม่สามารถเรียกเชื่อมั่นได้ จะกระทบต่อตลาดเงิน-ทุนไปทั่ว ซ้ำรอยวิกฤติการเงินโลกปี 51-52 รวมถึงกระทบไทยด้านท่องเที่ยว-ลงทุน…
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การทำประชามติเรื่องการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ของสหราชอาณาจักร (UK) หรือ EU Referendum ในวันที่ 23 มิ.ย.59 นั้น ถ้าอังกฤษตัดสินใจยังอยู่ร่วมกับสหภาพยุโรปเหมือนเดิม หรือ “Remain” ผลที่กระทบต่อไทยจะมีเพียงความไม่แน่นอนของตลาดเงินระยะสั้นในเดือน มิ.ย. หลังจากนั้นจุดสนใจจะถูกดึงกลับไปยังจังหวะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) รวมทั้งทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนที่มีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2559
อย่างไรก็ตาม หากผลโหวตปรากฏว่าอังกฤษตัดสินใจถอนตัวออกมาเป็นอิสระ หรือเกิด “Brexit” (เบร็กซิต) ผลกระทบเฉพาะหน้าจะเกิดต่อตลาดเงินและตลาดทุนเป็นหลัก รวมทั้งส่งผลต่อเนื่องถึงระยะกลางจนกว่ากระบวนการเจรจาเพื่อหารูปแบบการออกจากสหภาพยุโรปจะสิ้นสุดลง ซึ่งอาจใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี หลังจากนั้นจึงจะออกจากการเป็นสมาชิกภาพ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สิ่งสำคัญที่จะชี้ว่าผลกระทบจาก Brexit จะรุนแรงแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับมาตรการสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของอังกฤษให้สามารถยืนอยู่ได้อย่างแข็งแกร่งแม้ไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งจะช่วยหยุดการดิ่งลงของค่าเงินปอนด์ ตรงกันข้ามหากอังกฤษไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจกลับมาเพียงพอที่จะทำให้ค่าเงินปอนด์กลับมามีเสถียรภาพได้อย่างรวดเร็วนั้น สถานการณ์จะพลิกกลับมาเกิดผลกระทบลุกลามเลวร้ายมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในแง่ดีนั้นหากทางสหภาพยุโรปมีกรอบเวลาชัดเจนสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมา สกัดผลกระทบด้านค่าเงินได้อย่างรวดเร็วหรือค่าเงินปอนด์ไม่ต่างจากปัจจุบันมากนัก จะกระทบเศรษฐกิจไทยในปี 59 ค่อนข้างน้อย ซึ่งอาจจะกระทบเพียง 0.02-0.04% ของ จีดีพีไทย หรือคิดเป็นมูลค่าราว 3,000-5,500 ล้านบาท
สำหรับกรณีเลวร้าย หากทางการสหภาพยุโรป ไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมาได้ และส่งผลลุกลามสู่สหภาพยุโรปฉุดทั้งค่าเงินปอนด์และค่าเงินยูโรอ่อนค่ารุนแรงตลอดช่วงครึ่งหลังของปี 59 โดยทั้งค่าเงินปอนด์และค่าเงินยูโรอาจร่วงลงเหมือนในช่วงเกิดวิกฤติการเงินโลกในปี 2551-2552 ส่งผ่านผลกระทบมาถึงความสัมพันธ์ทางการค้า การท่องเที่ยวและการลงทุนกับไทย โดยถ้าหากมองความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแค่เพียงไทยกับอังกฤษอาจมีไม่มากนัก แต่เมื่อรวมทั้งสหภาพยุโรปคิดเป็น 9.8% ของจีดีพีไทย
ทั้งนี้กำลังซื้อที่อ่อนแรงลงของสหภาพยุโรป และอังกฤษจะสะท้อนผลลบกลับมายังไทยในมิติต่างๆ ดังนี้ 1. การส่งออกของไทยไปสหภาพยุโรปจะได้รับความอ่อนไหวรวดเร็วและปรากฏผลชัดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 59
2. การท่องเที่ยวในไทยมีข้อได้เปรียบที่ค่าใช้จ่ายไม่สูง แม้ว่าค่าเงินของยุโรปจะอ่อนค่าก็ยังดึงดูดให้นักท่องเที่ยวสหภาพยุโรปเดินทางมาไทย จึงขึ้นอยู่กับว่าการผันผวนของค่าเงินจะมีผลต่อเนื่องรุนแรงเพียงใด อันจะยิ่งกดดันให้นักท่องเที่ยวระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
3. การลงทุนจากต่างประเทศในไทย (FDI) ที่มาจากสหภาพยุโรปมีความไม่แน่นอนจากผลของค่าเงินที่อาจกระทบการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในไทย โดยเม็ดเงินที่อาจชะลอลง ได้แก่ ในหมวดอสังหาริมทรัพย์ การค้าส่ง/ค้าปลีก การผลิตคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ การเงิน/การประกันภัย การผลิตอาหารและการผลิตเคมีภัณฑ์ ในทางกลับกันการลงทุนไทยในต่างประเทศ (TDI) อาจมีโอกาสลงทุนในยุโรปด้วยต้นทุนต่ำ โดยผลของเงินปอนด์และเงินยูโรที่อ่อนค่าเอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนไทยที่มีศักยภาพใช้จังหวะนี้เข้าซื้อกิจการในยุโรป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในกรณีเลวร้ายที่ไม่สามารถหยุดความผันผวนในตลาดเงินได้นั้น การเกิด Brexit จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 59 ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของการดิ่งลงของค่าเงินปอนด์เป็นหลัก ผ่านกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้านต่างๆ คิดเป็น 0.1-0.2% ของจีดีพีไทย หรือมีมูลค่าราว 8,900-20,000 ล้านบาท โดยผลกระทบเหล่านี้จะยังดำเนินต่อเนื่องจนกระทั่งอังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปอย่างสมบูรณ์ ซึ่งนั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นของผลกระทบที่แท้จริง และจะส่งผลต่อไทยในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้หากมองไปข้างหน้าการถอนตัวของสหภาพยุโรป นอกจากจะสร้างความหวั่นไหวต่อเส้นทางเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่สกอตแลนด์อาจแยกตัวออกจากอังกฤษด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังเพิ่มความท้าทายต่ออังกฤษในการรักษาความเป็นปึกแผ่นของกลุ่มเศรษฐกิจ ซึ่งสหภาพยุโรปคงต้องมีท่าทีสานสัมพันธ์กับอังกฤษด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดข้อเปรียบเทียบกับสมาชิกที่เหลือของสหภาพยุโรป
นอกจากนี้การดำเนินนโยบายข้างหน้าคงมีท่าทีรอมชอมมากขึ้น เพื่อลดความแตกแยกของสมาชิกที่มีความเห็นไม่สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจและการเงินของอังกฤษและยูโรโซน (Euro Zone) เพื่อหลีกเลี่ยงการดำเนินรอยตามอังกฤษในอนาคตข้างหน้า