ประเมินผล Brexit กระทบไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 25 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/646652

 

รัฐ-เอกชนยืนยัน “สู้ไหว” แค่จิตวิทยาระยะสั้น

สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ฟันธงอังกฤษชิ่งอียู สะเทือนเศรษฐกิจอังกฤษปีนี้ เติบโตลด 0.7% ส่วนอียูได้รับผลกระทบ 0.2% เชื่อส่งให้ปีนี้เฟดไม่กล้าขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ เอเชียได้รับผลกระทบแค่จิตวิทยาระยะสั้น

นายเอ็ดเวิร์ด ลี หัวหน้าทีมวิจัยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด เปิดเผยหลังเสียงส่วนใหญ่ของสหราชอาณาจักรลงมติออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้เศรษฐกิจของอังกฤษในปีนี้เติบโตลดลง 0.7% จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 1.9% ปรับลดลงเหลือ 1.2% ส่วนเศรษฐกิจยุโรป หรืออียู ได้รับผล กระทบ 0.2% หรือจากเดิมประเมินไว้ที่ 1.4% ก็จะลดลงเหลือ 1.2% ขณะที่ค่าเงินปอนด์ของอังกฤษจะอ่อนค่าไปอยู่ที่ 1.23 ปอนด์ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนเงินยูโรจะอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ 1.03 ยูโรต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

“จะมีเงินลงทุนไหลเข้าไปยังญี่ปุ่น เนื่องจากเงินเยนถือว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ดังนั้นเงินมีแนวโน้มแข็งค่าไปที่ 95 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนสกุลเงินที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ เงินปอนด์ เงินยูโร และเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ค่าเงินปอนด์ที่จะอ่อนค่าลงไปที่ 1.23 ปอนด์ต่อดอลลาร์สหรัฐฯนั้น เชื่อว่าต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์”

โดยจากนี้จะเห็นอังกฤษผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ย และอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ ส่วนอียูคาดว่าจะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วกว่าเดิม และมีการอัดฉีดสภาพคล่องในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ขณะที่สหรัฐฯจากนี้จนถึงสิ้นปีธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในทางกลับกันช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ จะเห็นเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลงไปเหลือ 0%

นายเอ็ดเวิร์ดกล่าวอีกว่า ประเทศในเอเชียได้รับผลทางจิตวิทยาระยะสั้นเห็นได้จากมีการตื่นกลัว มีแรงเทขายหุ้นจนตกระนาวและค่าเงินที่ปรับลดลง โดยค่าเงินในเอเชียมี 3 สกุลที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ เงินริงกิตของมาเลเซียเงิน วอนของเกาหลีใต้ และเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซีย ขณะที่ภาพของเศรษฐกิจนั้นเอเชียมีผลกระทบน้อยมาก เห็นได้จากตัวเลขการค้าขายระหว่างเอเชียกับอังกฤษและอียู มีเพียง 2%

ด้านนางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดไทย กล่าวว่า ในระยะสั้นเชื่อว่าประเทศไทยจะไม่ประสบปัญหาเงินทุนไหลออก เนื่องจากโดยรวมนักลงทุนต่างประเทศลงทุนในตลาดหุ้น และตลาดพันธบัตรน้อยมาก

“ก้องเกียรติ” ชี้ตลาดเงิน–หุ้นตื่นเกินเหตุ

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเชียพลัส เปิดเผยว่า การที่อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกอียู มีแนวโน้มทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าออกไปอีก โดยเฉพาะเศรษฐกิจยุโรป โดยหากแรงงานต่างชาติเข้าไปทำงานในอังกฤษได้ยากขึ้น ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)ของอังกฤษอาจปรับลดลงถึง 1% ยิ่งหากก่อให้เกิดลัทธิเอาอย่าง ทำให้ประชาชนฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ หรือแม้แต่เยอรมนี อาจอยากถอนตัวและเรียกร้องการทำประชามติบ้างก็จะเกิดปัญหาต่อยุโรปทั้งหมดแน่ อย่างไรก็ตาม กว่ากระบวนการออกจากอียูจะเสร็จสิ้นก็น่าจะใช้เวลาอีก 2 ปี หากเศรษฐกิจสหรัฐฯสามารถกระเตื้องขึ้นมาได้ในช่วงนั้น ก็น่าจะทำให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายเกินไปนัก

ส่วนปฏิกิริยาของตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกต่อสถานการณ์ดังกล่าวนั้น มองว่าแตกตื่นเกินไปนิด ซึ่งน่าจะเป็นเพราะผลประชามติออกมาต่างจากที่คาดไว้ และเป็นปกติของตลาดเมื่อเกิดความกังวลก็ต้องเทขาย เป็นธรรมดาของพวกเทรดเดอร์ พอหายตกใจดัชนีหุ้นก็จะทยอยปรับขึ้น เชื่อว่าภายใน 2-3 วันจะกลับสู่ภาวะปกติ

ขณะที่การลงทุนของลูกค้าเอเชียพลัสในอังกฤษนั้น ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เนื่องจากลูกค้าไทยลงทุนในตลาดยุโรปน้อย ลูกค้าเอเชียพลัสส่วนใหญ่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ในความเป็นจริง วานนี้ (24 มิ.ย.) ยังมีลูกค้าบางส่วนเข้าไปลงทุนในหุ้นยุโรป เพราะราคากำลังปรับลงเหมาะสมกับการเข้าไปซื้อ

“พาณิชย์” ยันไม่กระทบ เจรจาการค้า

ด้านนางสาวศิรินารถ ใจมั่น อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวถึงประเด็น Brexit ว่า อังกฤษต้องดำเนินการภายในอีกอย่างน้อย 2 ปี จึงจะออกจากอียูได้จริง และไม่น่ามีผลกระทบต่อการเจรจาการค้า หรือการเจรจาจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ของไทยกับอังกฤษ หรือกับสหภาพยุโรป (อียู) โดยในส่วนของ เอฟทีเอไทย-อียูนั้น ขณะนี้ สองฝ่ายได้เจรจากันในส่วนของเจ้าหน้าที่ไปก่อน เพราะคณะกรรมาธิการยุโรป ยังไม่เจรจากับไทยจนกว่าไทยจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ ส่วนเอฟทีเออาเซียน-อียู
ยังไม่เริ่มการเจรจา

อย่างไรก็ตาม การออกจากอียูทำให้อังกฤษมีอิสระในการดำเนินนโยบายต่างๆ มากขึ้น

อย่างเช่น หากอังกฤษต้องการเจรจาสองฝ่ายกับไทย ก็สามารถเจรจาได้ทันที ไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการยุโรปอีกแล้ว ขณะที่กรอบขององค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) นั้น อยู่ที่ว่า เมื่ออังกฤษออกไปแล้วจะปรับระบบภาษีศุลกากรอย่างไร โดยหากสินค้าไทยที่ส่งออกไปอังกฤษได้รับผลกระทบอังกฤษจะต้องเจรจาชดเชยความเสียหายให้กับไทย

เช่นเดียวกับสินค้าเกษตรที่ไม่ห่วงผลกระทบจาก Brexit พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจการเกษตรไทยจะได้รับผลกระทบด้านการค้าระหว่างประเทศทางตรงไม่มากนัก เนื่องจากไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปยังอังกฤษเพียง 1.21 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 2.88% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรรวม แต่ในระยะยาว ถ้าอียูมีบทบาทในตลาดทางการค้าลดลง อาจจะส่งผลต่อการส่งออกไทย เพราะไทยส่งออกสินค้าเกษตรอียูประมาณ 9.56% ซึ่งสินค้าหลักที่ไทยส่งออกได้แก่ ผลิตภัณฑ์ไก่แปรรูป ทูน่าบรรจุ กุ้งขาวแวนนาไม เป็นต้น

ส.อ.ท.–หอการค้าฯลั่น “ยังสู้ไหว”

นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบระยะสั้น และไม่มากนัก เนื่องจากไทยมีการค้ากับอียู คิดเป็นสัดส่วนการส่งออก 9-10% ของภาคการส่งออกทั้งหมด โดยแบ่งเป็นการส่งออกไปอังกฤษไม่ถึง 2% ซึ่งในช่วงสั้นๆ ค่าเงินปอนด์จะอ่อนค่าส่งผลให้ซื้อสินค้าไทยแพงขึ้นอาจมีการสั่งซื้อชะลอตัวบ้าง เพราะผู้บริโภคอังกฤษอาจเกิดความลังเลในการใช้จ่ายสินค้านำเข้า แต่ก็ต้องใช้เวลา 2 ปีในการออกจากอียูของอังกฤษที่จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ดังนั้นในระหว่างนี้ ผู้ส่งออกของไทยก็มีเวลาในการปรับตัวหาตลาดส่งออกใหม่ๆมาทดแทน หากการส่งออกไปอังกฤษชะลอตัวลง

ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในระยะสั้นและระยะกลางจะไม่เป็นผลดีต่อการค้าขายระหว่างประเทศ เพราะจะมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นจากความกังวลต่างๆ โดยเฉพาะจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หากเป็นผู้ซื้อรายใหม่ที่ต้องการจะสั่งซื้อสินค้าก็จะรอดู ไม่ตัดสินใจซื้อสินค้าในช่วงนี้ แต่หากมองในแง่บวก ค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงไปแล้ว 9-10% ส่งผลทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น และทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปด้วยก็จะทำให้การส่งออกอาจจะดีขึ้น

หวั่นอังกฤษ–อียูเที่ยวไทยลดลง

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินเรื่องดังกล่าวว่า ตามปกติชาวยุโรปซึ่งปกติจะท่องเที่ยวในภูมิภาคกว่า 76% ของการเดินทางทั่วไปและท่องเที่ยวประเทศอื่นที่ไม่ต้องขอวีซ่าแต่เมื่ออังกฤษออกจากอียู นักท่องเที่ยวจำเป็นจะต้องขอวีซ่าเข้าอังกฤษ ถึงแม้อาจจะมีการเจรจายกเว้นวีซ่าในภายหลัง แต่เชื่อว่าจะต้องใช้ระยะเวลาหลายปี ซึ่งทำให้อังกฤษสูญเสียรายได้ภาคการท่องเที่ยวไปในช่วงนี้

ส่วนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับไทยในระยะสั้น 1-3 เดือนจากนี้ หากค่าเงินปอนด์ของอังกฤษอ่อนค่าลงประมาณ 3-10% จะส่งผลให้
นักท่องเที่ยวอังกฤษมีแนวโน้มลดลง 1-5% และกรณีค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 5-20% จะส่งผลต่อนักท่องเที่ยวยุโรปในภาพรวมมาไทยลดลงไปไม่เกิน 5% ยกเว้นบางตลาดที่อาจจะอ่อนไหวอาจลดลง 5-10% เช่น อิตาลี สเปน เยอรมนี ฟินแลนด์ เป็นต้น แต่มั่นใจว่า เมื่อค่าเงินมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น นักท่องเที่ยวจะเริ่มกลับมาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ในระยะยาว ททท. ต้องรอผลว่า การออกจากอียูของอังกฤษนั้นจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากประเด็นนี้มีผลกระทบต่อการเดินทางท่องเที่ยวมากกว่าเรื่องของค่าเงิน อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปจากประชามติครั้งนี้ เห็นว่าภาคการท่องเที่ยวไทยมีข้อได้เปรียบ เพราะหากอังกฤษมีความยุ่งยาก

ขั้นตอนการเจรจาขอวีซ่าเข้าประเทศ นักท่องเที่ยวอาจจะพิจารณาเลือกเดินทางมานอกภูมิภาคมากขึ้น.

 

Leave a comment