นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค.59 พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2558 มีผลบังคับใช้แล้ว ทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) และธุรกิจรายใหม่ (สตาร์ท อัพ) เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยนำทรัพย์สิน เช่น กิจการ สิทธิเรียกร้อง สังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สินทางปัญญา มาใช้เป็นหลักประกันขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยไม่ต้องส่งมอบหลักประกัน แต่นำไปใช้ประโยชน์ทำธุรกิจได้ต่อ ขณะที่สถาบันการเงินขยายการให้สินเชื่อได้มากขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง เพราะลดความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจากกฎหมายมีรูปแบบดำเนินงานที่รวดเร็วเป็นธรรม “ท้ายที่สุด จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยโตขึ้น เพราะมีการขับเคลื่อนในระดับฐานราก และทำให้นักลงทุนต่างชาติเห็นว่า การทำธุรกิจในไทยง่ายขึ้น ส่งผลดีต่อการจัดอันดับด้านการอำนวยความสะดวกการทำธุรกิจในไทยของธนาคารโลก โดยเฉพาะตัวชี้วัดด้านการได้รับสินเชื่อ”

ด้านนายพรชัย ฐีระเวช รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า กระทรวงเสนอกฎกระทรวงกำหนดให้บุคคลอื่นเป็นผู้รับหลักประกัน (ผู้ให้เงินกู้) เพิ่มเติม โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งจะเพิ่มบุคคล 6 ประเภท คือ นิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์, ทรัสตี, บริษัทหลักทรัพย์ กองทุนรวม, ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า, บริษัทบริหารสินทรัพย์ และธุรกิจแฟคตอริ่ง จากเดิมที่มีเพียงสถาบันการเงิน บริษัทประกัน บริษัทเครดิต ฟองซิเอร์ และบริษัทเงินทุน.